โฆษณาต่อต้านคอรัปชั่น

วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ประโยชน์ของการออกกำลังกาย



เราออกกำลังกายเพื่ออะไร ?
คำตอบง่ายๆ ก็คือ การออกกำลังกายทำให้สุขภาพและสมรรถภาพทางกายสมบูรณ์และแข็งแรง การออกกำลังกายโดยการเล่นกีฬาที่ชอบ เช่น ว่ายน้ำ การเต้นแอโรบิค หรือวิ่ง เหล่านี้ ล้วนทำให้มีสุขภาพดียิ่งขึ้น
ประโยชน์ของการออกกำลังกาย
ช่วยให้สุขภาพแข็งแรง
เลือดไปเลี้ยงสมองได้มากขึ้น
หัวใจและปอดแข็งแรง
ลดคอเลสเตอรอล
โอกาสเส้นเลือดอุดตันลดลง
ทำให้หลับสนิทและหลับนาน
สมรรถภาพทางเพศดีขึ้น
ระบบการย่อยและระบบขับถ่ายดีขึ้น
รูปร่างสมส่วนสวยงาม
ชลอความแก่

กระดาษหน้าที่สาม


ฮื้อ!!! เมื่อแรกอ่านผมก็งง...ใครกันจะสามารถนำกระดาษที่ใช้แล้วทั้งสองหน้า ไปใช้ประโยชน์เป็นหน้าที่สามได้อีก แต่พออ่านเสร็จก็เข้าใจ...เป็นไปได้จริงๆด้วย ยังมีคนต้องการที่จะใช้ประโยชน์จากกระดาษหน้าที่สามเพราะผู้พิการทางสายตาต้องการกระดาษที่ใช้แล้วทั้งสองหน้า ไปให้น้องๆหรือเด็กๆผู้พิการทางสายตา ได้ใช้หัดเขียนหัดอ่านเป็นอักษรเบรลล์ โดยใช้วิธีกดด้วยตะปูพิเศษ หรือพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ดีดพิเศษ เพื่อให้เกิดรอยกดบนกระดาษที่ใช้แล้วทั้งสองหน้าเป็นอักษรเบรลล์กระดาษที่ใช้แล้วทั้งสองหน้าจึงสามารถใช้งานเป็นกระดาษหน้าที่สามได้อีกรอบ...ขอเพียงแต่เป็นกระดาษA4 ที่ใหม่ไม่ยับ ไม่ขาด สีอะไรก็ได้ แม้จะมีลวดแม็กซ์เย็บติดอยู่ก็รับ
ทางมูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ เลขที่ 420 ถนนราชวิถี แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400 โทรศัพท์ 0-2354-8365-68, 0-2354-8370-71 โทรสาร 0-2354-8369 …ต้องการขอรับบริจาคกระดาษที่ใช้แล้วทั้งสองหน้า และกระดาษที่ใช้แล้วเพียงหน้าเดียว (ยิ่งต้องการมากๆ) ที่ยังมีสภาพดี ไปใช้เพื่อสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับน้องๆผู้พิการทางสายตา
หากใครคิดจะนำกระดาษที่ใช้งานแล้ว ไปชั่งกิโลขาย ก็แปลว่า ใช้งานกระดาษเหล่านั้นยังไม่หมดทีเดียว ..เพราะหน้าที่สามยังไม่ได้ใช้ และขายไปก็คงจะได้ไม่กี่บาท!!! สู้ช่วยกันบริจาคให้เป็นวิทยาทานแก่น้องๆผู้พิการทางสายตา มิดีกว่าหรือ?เพื่อน้องๆจะได้รับวิทยาทานเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ ที่จะมีโอกาสช่วยเหลือตัวเองในวันข้างหน้าต่อไป ไม่ต้องเป็นภาระต่อสังคม
เชื่อหรือไม่ว่า ผู้พิการทางสายตานับร้อยนับพันคน มีศักยภาพที่จะสอบเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษาได้?และเมื่อน้องๆได้ใช้กระดาษหน้าที่สามหมดแล้ว ทางมูลนิธิฯก็จะได้นำกระดาษไปขายต่อเพื่อเป็นประโยชน์อีกรอบหนึ่ง แต่คราวนี้เป็นการได้เงินมา เพื่อนำไปใช้ซื้ออุปกรณ์การศึกษาให้น้องๆ…ส่วนกระดาษที่ขายไป ผู้ซื้อก็จะนำไปรีไซเคิล เป็นการลดการโค่นไม้ทำลายป่าเพื่อการผลิตเยื่อกระดาษอีกด้วย

การเกิดภูเขาไฟระเบิด


ภัยจากภูเขาไฟระเบิดเป็นอีกมหันตภัยหนึ่งที่เกิดจากความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ ภูเขาไฟพบเห็นอยู่ในทุกภูมิภาคของโลกแม้แต่ในประเทศไทยก็มีภูเขาไฟอยู่หลายลูกกระจายตัวอยู่ในจังหวัดต่างๆ ภัยจากภูเขาไฟสำหรับคนไทยแล้วอาจจะดูห่างไกลกว่าภัยธรรมชาติชนิดอื่น แต่ถึงกระนั้นเราก็ไม่ควรเพิกเฉยต่อการเปลี่ยนแปลงเสียทีเดียว นอกจากความน่าสะพรึงกลัวจากภัยภูเขาไฟแล้วภูเขาไฟบางแห่งก็มีทัศนียภาพที่สวยงามตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คงจะหนีไม่พ้นภูเขาฟูจิที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นไปแล้ว แต่ความเปลี่ยนแปลงที่อยู่ลึกลงไปภายใต้แผ่นดินความสวยงามอาจกลายเป็นภัยที่สามารถเผาผลาญชีวิตมนุษย์ สัตว์ และพืชได้ในพริบตาเดียว

ปัจจุบันยังคงเกิดเหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิดเกิดขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ละครั้งความเสียหายของผู้เสียชีวิตอยู่ที่หลักหมื่น ในแง่ของการสูญเสียประชากรอาจจะไม่รุนแรงเท่าภัยธรรมชาติชนิดอื่นแต่ในเชิงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมรวมทั้งการเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์แล้วภัยธรรมชาติชนิดนี้ต้องถือว่าเป็นภัยที่น่าตระหนกอย่างยิ่ง
อินโดนีเซียประเทศเพื่อนบ้านของเราที่มีลักษณะทางภูมิศาสตร์เป็นเกาะแก่งมากมายเคยเกิดเหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิดครั้งรุนแรงมาแล้วอย่างน้อยสามครั้ง
เมื่อราว 7 หมื่น5พันปีมีมาแล้วภูเขาไฟโทบา บนเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซียเกิดระเบิดขึ้นทำให้มีเศษหินและขี้เถ้าขนาดยักษ์แผ่ปกคลุมโลกและบดบังดวงอาทิตย์ จนมีข้อสันนิษฐานตามมาว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นสาเหตุของการเกิดยุคน้ำแข็งยุคใหม่ของโลกขึ้น
ปี ค.ศ.1815 ภูเขาไฟแทมโบล่า(Tambora) ในประเทศอินโดนีเซียเกิดระเบิดขึ้น การระเบิดในครั้งนั้นทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือนและส่งเสียงกึกก้องดังไปไกลกว่า 850 กิโลเมตร การระเบิดในครั้งนั้นทำให้เกิดเศษธุลีและผงฝุ่นมหาศาลแผ่ปกคลุมโลกจนกระทั่งโลกในปีนั้นไม่มีฤดูร้อน หลังจากอีกกว่า 150 ปีต่อมานักวิทยาศาสตร์ได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าการระเบิดของแทมโบล่าเป็นการระเบิดของภูเขาไฟที่รุนแรงที่สุดในรอบหมื่นปี แม้แต่การระเบิดของภูเขาไฟ วิสุเวียส (visuvius)ที่เกิดเป็นลาวาไหลท่วมทับคนทั้งเป็น ในอิตาลี หรือแม้กระทั่งการระเบิดของภูเขาไฟบนเกาะการากา (krakatoa) ประเทศอินโดนีเซียในปี 1883 ที่ทำให้เกิดเสียงกึกก้องดังไปถึง 4,828 กิโลเมตร( 3 พันไมล์) เกิดคลื่นสึนามิสูงประมาณ 100 ฟุต และทำให้ประชากรเสียชีวิตมากกว่า 3.5 หมื่นก็ยังไม่สามารถนำไปเทียบเคียงกับความรุนแรงของการระเบิดของภูเขาไฟแทมโบล่า นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าการระเบิดของภูเขาไฟแทมโบล่ามีความรุนแรงเทียบเท่ากับระเบิดปรมาณูที่อเมริกาทิ้งใส่เมืองฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น ในคราวสงครามโลกครั้งที่สองถึง 60,000 ลูกเมื่อมีการระเบิดพร้อมกัน นั้นคือความน่าสะพรึงกลัวของภัยภูเขาไฟระเบิด

การแรเงา


เทคนิคการแรเงาน้ำหนัก เมื่อตรวจแก้ไขข้อบกพร่องของภาพร่างดีแล้ว และเป็นภาพร่างที่พร้อมจะแรเงาน้ำหนักการกำหนดแสงเงาบน วัตถุในภาพร่างซึ่งมีรูปทรงต่าง ๆ นั้น อาจลำดับขั้นตอนของกระบวนการได้ ดังนี้

1. หรี่ตาดูวัตถุที่เป็นหุ่น กำหนดพื้นที่แบ่งส่วนระหว่างแสงเงาออกจากกันให้ชัดเจนด้วยเส้นร่างเบา ๆ บนรูปทรง ของภาพร่างที่วาดไว้นั้น โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคร่าว ๆ คือ แสงกับเงาเท่านั้น

2. แรเงาน้ำหนักในส่วนพื้นที่ที่เป็นเงาทั้งหมด ด้วยน้ำหนักเบาที่สุดของเงาที่ตกทอดบนวัตถุ และเว้นพื้นที่ ส่วนที่เป็นแสงไว้

3. พิจารณาเปรียบเทียบน้ำหนักที่เบาที่สุดกับน้ำหนักที่เข้มในส่วนขึ้นอีกเท่าใด แล้วแบ่งน้ำหนักเงาที่อ่อนกับ เงาที่เข้มขึ้นด้วยวิธีร่างเส้นแบ่งพื้นที่เบา ๆ เช่นกันกับข้อ 1 จากนี้ก็แรเงาเพิ่มน้ำหนักในส่วนที่เข้มขึ้น ตลอดเวลาจะ ต้องเปรียบเทียบน้ำหนักของเงาที่ลงใหม่กับเงาอ่อนและแสงที่เว้นไว้อยู่เสมอเพื่อให้การแรเงาน้ำหนักได้ใกล้เคียงความ เป็นจริง การแรเงาน้ำหนักต้องลงรวม ๆ ไปทีละน้ำหนัก จะทำให้คุมน้ำหนักได้ง่าย

4. การแรเงาน้ำหนักที่เข้มขึ้นจะใช้วิธีการเดียวกับข้อ 1 และข้อ 3 จนครบกระบวนการ จะทำให้ได้ภาพที่มี น้ำหนักแสงเงาใกล้เคียงกับความเป็นจริงจากนั้นเกลี่ยน้ำหนักที่แบ่งไว้ในเบื้องต้นให้ประสานกลมกลืนกัน

5. พิจารณาในส่วนของแสงที่เว้นไว้ จะเห็นว่ามีน้ำหนักอ่อนแก่เช่นเดียวกับในส่วนของเงาต้องใช้ดินสอลง น้ำหนักแผ่ว ๆ ในส่วนของแสงที่เว้นไว้ เพื่อให้รายละเอียดของแสงเงามีน้ำหนักที่สมบูรณ์

6. เงาตกทอด ใช้หลักการเดียวกับการแรเงาน้ำหนักบนวัตถุที่กล่าวมาแล้ว แต่ต้องสังเกตทิศทางของแสงประกอบการเขียน แสงในการวาดเขียนปกติจะใช้ประมาณ 45 องศากับพื้น แต่มีข้อสังเกต คือ ถ้าแสงมาจากมุมที่สูง จะเห็นเงาตกทอดสั้น ถ้าแสงมาจากมุมที่ต่ำลง เงาตกทอดจะยาวขึ้น ในส่วนน้ำหนักของเงาตกทอดเองก็จะมีน้ำหนักอ่อนแก่เช่นเดียวกับแสงเงาบนวัตถุ คือเงาที่อยู่ใกล้วัตถุจะมีความเข้มกว่าเงาที่ทอดห่างตัววัตถุสาเหตุมาจากแสงสะท้อนรอบ ๆ ตัววัตถุที่สะท้อนเข้ามาลบเงาให้จางลง

น้ำสร้างอนาคต



น้ำนอกจากจะมีความสำคัญในการดำรงชีวิตในแต่ละวันของมนุษย์ทุกคนแล้ว น้ำยังมีความสำคัญต่อทุกๆอณูของร่างกาย โดยเฉพาะผิวพรรณที่ต้องการน้ำสำหรับไปหล่อเลี้ยงให้ผิวคงความสมดุล มีสุขภาพดีอยู่เสมอ สังเกตุได้จากผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหลากหลายชนิดจะต้องมีน้ำเป็นส่วนประกอบสำคัญ ซึ่งก็เหมาะสมกับทุกสภาพผิว ไม่ว่าจะเป็นผิมมันหรือผิวแห้ง รวมทั้งผิวผสมอีกด้วย
การดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะธรรมชาติของชั้นไขมันที่มีอยู่ในร่างกายส่วนหนึ่งมีไว้สำหรับเคลือบผิวหนังไม่ให้เกิดการสูญเสียน้ำ นับเป็นความโชคดีของคนที่มีผิวมัน แต่ก็มีข้อเสียตรงที่คนที่มีผิวมันจะรับเอาสิ่งสกปรกจากมลภาวะต่างๆได้ง่าย จึงก่อให้เกิดการระคายเคืองที่ผิวและมีปัญหาผิวอื่นๆตามมา ส่วนคนที่มีผิวแห้งแน่นอนว่าร่างกายต้องมีปริมาณน้ำมันที่ไม่เพียงพอจะไปหล่อเลี้ยงผิวให้เปร่งปลั่งสดใส ดังนั้นชั้นไขมันจึงจำเป็นที่จะต้องใช้น้ำเพื่อไปชดเชยการขาดน้ำของผิว คนที่มีผิวบอบบางและแพ้ง่ายก็มีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่ร่างกายขาดน้ำเช่นกัน
นอกจากเรื่องของผิวพรรณแล้ว การนำน้ำเข้าสู่ร่างกายนับว่าเป็นกระบวนการที่สำคัญ และวิธีที่ดีที่สุดก็คือการดื่มน้ำ เนื่องจากแรงดันของน้ำจะทำให้ความดันโลหิตลดลง การสูบฉีดของหัวใจและการไหลเวียนเลือดทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การดื่มน้ำเย็นจัดยังช่วยให้ร่างกายสามารถเผาผลาญพลังงานได้อีกด้วยเนื่องจากร่างกายจะต้องนำพลังงานมาปรับอุณภูมิของน้ำให้เหมาะสมกับร่างกาย นอกจากนี้น้ำเปล่ายังช่วยชำระล้างทำความสะอาดร่างกายจากภายในได้อีกด้วย

การเกิดซึนามิ


สึนามิ เป็นภาษาญี่ปุ่นแปลว่า Harbour Wave คำแรก สึ แปลว่า harbour คำที่สอง นามิ แปลว่า คลื่น ปัจจุบันใช้เป็นคำเรียก กลุ่มคลื่นที่มีความยาวคลื่นมากๆขนาดหลายร้อยไมล์ นับจากยอดคลื่นที่ไล่ตามกันไป เกิดขึ้นจากการที่น้ำทะเลในปริมาตรเป็นจำนวนมากมายมหาศาล ถูกผลักดันให้เคลื่อนที่ในแนวดิ่ง ด้วยเหตุมาจากการเคลื่อนไหวของเปลือกโลกส่วนที่อยู่ใต้ทะเลลึก บางครั้งก็เรียกว่า seismic wave เพราะส่วนใหญ่เกิดจากการเคลื่อนไหวดังกล่าว เรามักจะสับสนกับคำว่า สึนามิ กับ tidal wave ซึ่งเกิดจากน้ำขึ้นน้ำลง แต่ สึนามิ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับการขึ้นลงของน้ำเลย สึนามิ ส่วนใหญ่ เกิดจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกใต้ทะเลอย่างฉับพลัน อาจจะเป็นการเกิดแผ่นดินถล่มยุบตัวลง หรือเปลือกโลกถูกดันขึ้นหรือยุบตัวลง ทำให้มีน้ำทะเลปริมาตรมหาศาลถูกดันขึ้นหรือทรุดตัวลงอย่างฉับพลัน พลังงานจำนวนมหาศาลก็ถ่ายเทไปให้เกิดการเคลื่อนตัวของน้ำทะเลเป็น คลื่นสึนามิ ที่เหนือทะเลลึก จะดูไม่ต่างไปจากคลื่นทั่วๆไปเลย จึงไม่สามารถสังเกตได้ด้วยวิธีปกติ แม้แต่คนบนเรือเหนือทะเลลึกที่ คลื่นสึนามิ เคลื่อนผ่านใต้ท้องเรือไป ก็จะไม่รู้สึกอะไร เพราะเหนือทะเลลึก คลื่นนี้ สูงจากระดับน้ำทะเลปกติเพียงไม่กี่ฟุตเท่านั้น จึงไม่สามารถแม้แต่จะบอกได้ด้วยภาพถ่ายจากเครื่องบิน หรือยานอวกาศนอกจากนี้แล้ว สึนามิ ยังเกิดได้จากการเกิดแผ่นดินถล่มใต้ทะเล หรือใกล้ฝั่งที่ทำให้มวลของดินและหิน ไปเคลื่อนย้ายแทนที่มวลน้ำทะเล หรือภูเขาไฟระเบิดใกล้ทะเล ส่งผลให้เกิดการโยนสาดดินหินลงน้ำ จนเกิดเป็นคลื่น สึนามิ ได้ ดังเช่น การระเบิดของภูเขาไฟ คระคะตัว ในปี ค.ศ. ๑๘๘๓ ซึ่งส่งคลื่น สึนามิ ออกไปทำลายล้างชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนในเอเชีย มีจำนวนผู้ตายถึงประมาณ ๓๖,๐๐๐ ชีวิต นอกเหนือไปจากนั้น ในกรณีที่มีความเป็นไปได้ไม่สูงมากนัก คือการที่เกิดอุกกาบาตตกใส่โลก ดังเช่นที่เกิดขึ้นเมื่อ ๖๕ ล้านปีมาแล้ว ทำลายล้างชีวิตบนโลกเป็นส่วนใหญ่ สรุปแล้วก็คือ สึนามิ จะเกิดขึ้นเมื่อ น้ำทะเลในปริมาตรมหาศาล ถูกผลักดันให้เคลื่อนออกจากตำแหน่งเดิมในแนวดิ่ง อย่างฉับพลันกระทันหันชั่วพริบตา ด้วยพลังงานมหาศาล น้ำทะเลก็จะกระจายตัวออกเป็นคลื่น สึนามิ ที่เมื่อไปถึงฝั่งใด ความพินาศสูญเสียก็จะตามมาอย่างตั้งตัวไม่ติด

20 วิธีลดโลกร้อน


1. ลดการใช้พลังงานในบ้าน ด้วยการปิดทีวี คอมพิวเตอร์ เครื่องเสียง และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ เมื่อไม่ได้ใช้งาน จะช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้นับ 1,000 ปอนด์ต่อปี

2. ลดการสูญเสียพลังงานในโหมดสแตนด์บาย เครื่องเสียงระบบไฮ-ไฟ โทรทัศน์ เครื่องบันทึกวิดีโอ คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะและอุปกรณ์พ่วงต่างๆ ที่ติดมาด้วย จะยังคงมีการใช้ไฟฟ้าแม้ยังอยู่ในโหมด สแตนด์บาย ประหยัดไฟฟ้าและค่าไฟด้วยการดึงปลั๊กออก หรือใช้ปลั๊กเสียบพ่วงที่ตัดไฟด้วยตัวเอง

3. เปลี่ยนหลอดไฟ เป็นหลอดไฟประหยัดพลังงานแบบขดที่เรียกว่า compact fluorescent (CFL) แม้อาจจะมีราคาแพงกว่าหลอดแบบเดิม 3-5 เท่าแต่จะกินไฟเพียง 1 ใน 4 ของหลอดไฟแบบเดิม และมีอายุการใช้งานได้นานกว่าหลายปีมาก แต่เมื่อใช้งานหมดอายุแล้วจำเป็นต้องแยกทิ้งหลอดไฟในถังรีไซเคิลเฉพาะ เพราะตัวหลอดยังมีปรอทเคลือบอยู่ราวๆ 5 มิลลิกรัม

4. เปลี่ยนไปใช้ไฟแบบหลอด LED จะได้ไฟที่สว่างกว่า และประหยัดกว่าหลอดปกติ 40% สามารถหาซื้อหลอดไฟ LED ที่ใช้สำหรับโคมไฟตั้งโต๊ะและตั้งพื้นได้ด้วย จะเหมาะกับการใช้งานที่ต้องการให้มีแสงสว่างส่องทาง เช่น ริมถนนหน้าบ้าน การเปลี่ยนหลอดไฟจากหลอดไส้ จะช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 150 ปอนด์ต่อปี

5. ช่วยกันออกความเห็นหรือรณรงค์ ให้รัฐบาลพิจารณาข้อดีข้อเสียของการเรียกเก็บภาษีคาร์บอนกับ ภาคการผลิต ตามอัตราการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากเชื้อเพลิงฟอสซิลรูปแบบต่างๆ หรือการใช้ก๊าซโซลีนเป็นรูปแบบการใช้ภาษีทางตรงที่เชื่อว่า หากโรงงานต้องจ่ายค่าภาษีแพงขึ้นก็จะลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ในกระบวนการผลิตลง ซึ่งจะช่วยลดปริมาณการปล่อย CO2 ลงได้ประมาณ 5 %

6. ไปร่วมกันประหยัดน้ำมันแบบ Car Pool นัดเพื่อนร่วมงานที่มีบ้านอาศัยใกล้ๆ นั่งรถยนต์ไปทำงานด้วยกัน ช่วยประหยัดน้ำมันและยังเป็นการลดจำนวนรถติดบนถนน ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ทางอ้อมด้วย

7. ขับรถยนต์ส่วนตัวให้น้อยลง ด้วยการปั่นจักรยานใช้รถโดยสารประจำทาง หรือใช้การเดินแทนเมื่อต้องการไปทำกิจกรรมหรือธุระใกล้ๆ บ้าน การขับรถยนต์น้อยลงหมายถึงการใช้น้ำมันลดลง และลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ เพราะน้ำมันทุกๆ แกลลอนที่ประหยัดได้ จะลดคาร์บอนไดออกไซด์ 20 ปอนด์

8. จัดเส้นทางรถรับส่งพนักงาน ถ้าในหน่วยงานมีพนักงานจำนวนมากอาศัยอยู่ในเส้นทางใกล้ๆ กัน ควรมีสวัสดิการจัดหารถรับส่งพนักงานตามเส้นทางสำคัญๆ เป็น Car Pool ระดับองค์กร

9. เปิดหน้าต่างรับลมแทนเปิดเครื่องปรับอากาศ ลดการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้ไฟฟ้า เพื่อเปิดเครื่องปรับอากาศ ด้วยการเปิดหน้าต่างบ้านรับลมบ้าง โดยเฉพาะในหน้าหนาวหรือหน้าฝน ที่อากาศภายนอกเย็นกว่าฤดูอื่นๆ กลัวยุงและแมลงก็ติดมุ้งลวดที่หน้าต่างเสียเลยหลายครั้งที่เรา จะพบว่าโรงแรมและบ้านพักหลายแห่งที่อยู่ติดทะเลมีห้องพักที่ใช้พัดลมกับห้องพักมีเครื่องปรับอากาศ ให้เลือก เลือกพักห้องพัดลมจะดีกว่า ได้นอนฟังเสียงคลื่นพร้อมกับใช้ไฟฟ้าน้อยลง

10. มองหาผลิตภัณฑ์ที่มีสัญลักษณ์ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม ครั้งต่อไปเมื่อจะซื้อสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ใด ๆ มองหาป้ายสัญลักษณ์ เช่น ป้ายฉลากเขียวประหยัดไฟเบอร์ 5 มาตรฐานผลิตภัณฑ์คุณภาพสินค้าเกษตรอินทรีย์ เพราะการจะได้ใบรับรองนั้นจะต้องมีการประเมินสินค้าตั้งแต่เริ่มต้นหาวัตถุดิบ

11. ไปตลาดสดแทนซุปเปอร์มาเก็ตบ้าง ซื้อผักผลไม้ หมู ไก่ ปลา ในตลาดสดใกล้บ้านแทนการช้อปปิ้ง ในซุปเปอร์มาเก็ตบ้าง ที่อาหารสดทุกอย่างมีการหีบห่อด้วยพลาสติกและโฟมทำให้เกิดขยะจำนวนมากลองหิ้วตระกร้าหรือถุงผ้าไปจ่ายตลาดดูบ้าง

12. เลือกซื้อเลือกใช้ เมื่อต้องซื้อรถยนต์ใช้ในบ้านหรือรถยนต์ประจำสำนักงานก็หันมาเลือกซื้อรถประหยัดพลังงาน รวมทั้งเลือกอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีฉลากประหยัดไฟ ทั้งในบ้านและอาคารสำนักงาน

13. เลือกซื้อรถยนต์ที่มีขนาดตามความจำเป็น โดยพิจารณาจากขนาดครอบครัวและประโยชน์การใช้งาน ได้ขนาดแล้วก็พิจารณารุ่นที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุดเพื่อเปรียบเทียบราคา อาจลองใช้การจัดอันดับรถเพื่อสิ่งแวดล้อม

14. ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องเลือก รถโฟว์วีลขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อกินน้ำมันมาก ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าเลือกซื้อใช้ ตะแกรงขนสัมภาระบนหลังคารถ ก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็นเพราะเป็นการเพิ่มน้ำหนักรถให้เปลืองน้ำมัน ยกเว้นจะเลือกแบบที่ถอดเข้าออกได้เผื่อจำเป็นต้องใช้งาน

15. ขับรถอย่างมีประสิทธิภาพ ในระยะทางไกลการขับรถ ด้วยความเร็วไม่เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะช่วยลดการใช้น้ำมันลงได้ 20 % หรือคิดเป็นปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่ลดได้ 1 ตันต่อรถยนต์แต่ละคันที่ ใช้งานราว 30,000 กิโลเมตรต่อปี

16. ขับรถเร็วเที่ยวไปลดคาร์บอนไดออกไซด์ไปพร้อมกัน แม้จะอยู่ในช่วงลาพักร้อนไปเที่ยวต่างประเทศ เลือกเช่ารถรุ่นที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่ใช้เอธานอลหรือน้ำมันเชื้อเพลิงทางเลือกอื่นๆ ด้วย ลองสอบถามบริษัทรถเช่าเมื่อเดินทางไปถึง

17. เลือกใช้บริการโรงแรมที่มีสัญลักษณ์สิ่งแวดล้อม ปัจจุบันโรงแรมหลายแห่งมีบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น มีมาตรการประหยัดน้ำ ประหยัดพลังงาน และมีระบบจัดการของเสีย มองหาป้ายสัญลักษณ์ เช่น โรงแรมใบไม้สีเขียว มาตรฐานผลิตภัณฑ์คุณภาพ

18. เช็คลมยาง การขับรถที่ลมยางอ่อนอาจทำให้เปลืองน้ำมันได้ถึง 3 %

19. เปลี่ยนมาใช้พลังงานชีวภาพ เช่น ไบโอดีเซล เอธานอลให้มากขึ้น

20. โล๊ะทิ้งตู้เย็นรุ่นเก่า ตู้เย็นที่ผลิตเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ใช้ไฟฟ้ามากเป็น 2 เท่าของตู้เย็นสมัยใหม่ที่มีคุณภาพสูง ซึ่งช่วยประหยัดค่าไฟลงได้มาก และลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 100 กิโลกรัมต่อปี

นิยามความรัก


1. การรักและไม่ได้รับรักตอบ เป็นทุกข์ แต่สิ่งที่ทุกข์ยิ่งกว่า คือการรักใครสักคน แต่ไม่มีความกล้าพอที่จะบอกให้คนคนนั้นรู้ และต้องมาเสียใจภายหลัง

2. พระเจ้าอาจจะต้องการให้เราพบคนที่ไม่ใช่..ก่อนที่จะมาพบคนที่ใช่ เพื่อเวลาเราพบคนคนนั้นแล้ว เราจะได้รู้สึกซาบซึ้งถึงพรที่ท่าน ประทานมา

3. ความรักคือความรู้สึกที่คุณยังห่วงใยใครสักคนอยู่ แม้จะแยกความ รู้สึก ความลุ่มหลง และความสัมพันธ์แบบรักใคร่ออกไปแล้ว

4. สิ่งที่น่าเศร้าในชีวิต คือการพบคนที่มีความหมายอย่างมากสำหรับเรา แต่มาค้นพบภายหลังว่าเราไม่ได้ถูกกำหนดมาเพื่อสิ่งนั้น และจะต้องปล่อยให้ผ่านพ้นไป 5. เมื่อประตูแห่งความสุขปิดลงประตูแห่งความสุขบานอื่นก็จะเปิดขึ้น แต่เราก็มัวแต่มองประตูที่ปิดลงไปแล้วเนิ่นนานจนกระทั่งเรามองไม่เห็นประตูที่เปิดไว้รอ 6. เพื่อนที่ดีที่สุดคือคนที่คุณสามารถนั่งอยู่ริมระเบียงด้วยกันโดยไม่พูดอะไรกันสักคำ แต่สามารถเดินจากไปด้วยความรู้สึกเหมือนได้คุยกัน อย่างประทับใจที่สุด 7. เป็นความจริงที่เราไม่สามารถรู้เลยว่าเรามีอะไรอยู่จนกว่าเราจะสูญเสียมันไป แต่ก็จริงอีกเช่นกันที่เราไม่รู้ว่าเราพลาดอะไรไปบ้างจนกระทั่งสิ่งนั้นเข้ามาหาเรา 8. การมอบความรักทั้งหมดให้ใครสักคนไม่ได้เป็นหลักประกันว่าเขาจะรักเราตอบ อย่าหวังที่จะได้รักตอบ แต่จงรอให้มันงอกงามขึ้นในหัวใจเขา แต่ถ้ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น ให้พอใจว่าอย่างน้อยมันก็ได้งอกงามขึ้นในใจของเราเอง

9. มีสิ่งที่คุณต้องการจะได้ยิน แต่คุณจะไม่ได้ยินมันจากปากของคนที่คุณอยากได้ยิน แต่อย่าทำตัวเป็นคนหูหนวกโดยไม่รับฟังสิ่งนั้นจากคนที่เขาบอกกับคุณจากหัวใจ

10. อย่าบอกลาถ้าคุณยังต้องการจะพยายามต่อไป อย่าท้อใจถ้าคุณยังรู้สึกว่าคุณไปไหว อย่าพูดว่าคุณไม่รักคนคนนั้นอีกแล้ว ถ้าคุณไม่สามารถทำใจ

11. ความรักมักมาเยือนผู้ที่ยังคงหวัง ถึงแม้ว่าจะผิดหวัง และมาเยือนผู้ที่ยังคงเชื่อ ถึงแม้ว่าจะถูกทรยศหักหลัง และจะมาเยือนผู้ที่ยังคงรัก ถึงแม้จะเคยเจ็บปวดมาก่อน

12. การที่เราจะประทับใจใครนั้นใช้เวลาแค่เพียงนาที การที่เราจะชอบใครใช้เวลาเพียงแค่ชั่วโมง การที่เราจะรักใครใช้เวลาเพียงชั่ววัน แต่การที่จะลืมใครนั้นต้องใช้เวลาชั่วชีวิต

13. อย่ามองใครจากหน้าตา เพราะมันอาจหลอกเราได้ อย่ามองใครจากความร่ำรวย เพราะมันไม่จีรังยั่งยืน ให้มองหาคนที่ทำให้คุณยิ้มได้ เพราะเพียงยิ้มเดียว สามารถทำให้วันที่หม่นหมองกลับสดใส ขอให้คุณพบคนที่ทำให้คุณยิ้มได้

14. มีช่วงเวลาในชีวิตที่คุณคิดถึงใครสักคนจนกระทั่งอยากดึงเขา มาจากความฝันเพื่อกอดเอาไว้ขอให้คุณได้ฝันถึงคนพิเศษนั้น

15. ฝันถึงสิ่งที่คุณต้องการฝันไปในที่ที่คุณต้องการไปเป็นในสิ่งที่คุณต้องการเป็น เพราะคุณมีเพียงชีวิตเดียว และมีโอกาสเดียวที่จะทำทุกสิ่งที่คุณต้องการ

16. ขอให้คุณมีความสุขมากพอที่จะทำให้คุณเป็นคนอ่อนหวาน ผ่านการทดสอบมามากพอที่จะทำให้คุณเข้มแข็ง มีความเศร้าโศกพอที่จะทำให้คุณยังคงความเป็นมนุษย์ และมีความหวังมากพอที่จะทำให้คุณเป็นสุข

17. เอาใจเขามาใส่ใจเรา ถ้าคุณรู้สึกว่าสิ่งนั้นจะทำให้คุณเจ็บปวด รู้ไว้เถอะว่าคนอื่นก็เจ็บปวดจากสิ่งเดียวกันเช่นกัน

18. คำพูดที่ไม่ได้ยั้งคิดอาจก่อให้เกิดความขัดแย้ง คำพูดที่โหดร้ายอาจทำลายชีวิต คำพูดที่เหมาะกาละเทศะอาจลดความเครียด คำรักอาจเยียวยาและทำให้มีสุข 19. จุดเริ่มของความรักคือการปล่อยให้คนที่เรารักเป็นตัวของตัวเอง อย่าดึงเขาจากภาพความเป็นเขา มิฉะนั้นจะหมายความว่ามันเป็นเพียงภาพสะท้อนของตัวเรา ที่ปรากฎในพวกเขา

20. คนที่มีความสุขที่สุดไม่ได้หมายความว่าเขามีสิ่งที่ดีที่สุด เพียงแต่เขาสามารถทำสิ่งที่เขามีให้ดีที่สุดได้ต่างหาก

21. ความสุขรออยู่เบื้องหน้าผู้ที่มีน้ำตา ผู้ที่เจ็บปวด ผู้ที่ค้นหา และผู้ที่ พยายามแล้ว เพราะมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้จักคุณค่า-ของผู้คนที่ได้สัมผัสชีวิต

22. ความรักเริ่มต้นด้วยรอยยิ้ม งอกงามด้วยรอยจูบ และจบลงด้วยคราบน้ำตา

23. อนาคตที่สดใสมีรากฐานอยู่บนอดีตที่แสนเจ็บปวด คุณไม่สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ดี ถ้าหากไม่รู้จักปล่อยวางความผิดพลาดในอดีต และความปวดใจ 24. คุณร้องไห้ตอนคุณเกิดในขณะที่คนรอบข้างกำลังยิ้ม จงมีชีวิตอยู่เพื่อเมื่อตอนคุณตาย คุณจะเป็นคนที่ยิ้ม ในขณะที่คนรอบข้างร้องไห้ให้คุณ

25. ความรักก็เหมือนกับการเสี่ยง คุณอาจจะต้องพบกับความล้มเหลว แต่ถ้าคุณไม่เสี่ยง คุณก็อาจจะต้องพบกับความล้มเหลวตลอดไป

26. ความรัก มักเหมือนแก้วบาง ถ้าหากคุณมือหนัก แก้วที่คุณถือ ก็อาจจะต้องแตกร้าวทุกครั้งที่คุณใช้มัน

27. ความรัก ง่ายที่เราจะหามัน แต่ยากที่จะรักษาเอาไว้ให้คงอยู่ตลอดไป

28. ความรัก เป็นเรื่องง่ายๆ ที่จะรักษามันไว้กับใจ หากคนทั้งคู่ ไม่ โง่...

วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

โปรเเกรม Microsolf PowerPoint 2002

บทความนี้จะพูดถึงทางเลือกของเอกสารใน Microsoft PowerPoint 2002 อันได้แก่ การพิมพ์เอกสารจากตัวอย่างก่อนพิมพ์ ซึ่งเป็นมุมมองใหม่ ทำอย่างไรจึงจะเปลี่ยนหน้าหลักของเอกสารได้ และทางเลือกอื่น ๆ ของเค้าโครงที่คุณสามารถเลือกได้ อย่างเช่น พิมพ์เอกสารใน Microsoft Word
การตั้งค่าทางเลือกของเอกสาร
ใน PowerPoint 2002 คุณจะสามารถตั้งค่าของตัวเลือกของเอกสารสำหรับการพิมพ์ได้หลายแบบดังนี้:
ผ่านกล่องโต้ตอบ Print (เมนู File คำสั่ง Print)
ในตัวอย่างก่อนพิมพ์ (ปุ่ม Print Preview บนแถบเครื่องมือ Standard)
ข้อดีของตัวอย่างก่อนพิมพ์ก็คือคุณสามารถมองเห็นเค้าโครงที่คุณเลือกได้ว่าเป็นอย่างไร และคุณสามารถที่จะเพิ่มหรือเปลี่ยนข้อความบนหัวหรือข้างท้ายกระดาษในมุมมองนี้ได้
ตัวอย่างเค้าโครง
เลือกตัวใดตัวหนึ่งจากตัวเลือกเค้าโครง 6 ชนิดสำหรับเอกสารรวมไปถึงจำนวนสไลด์ที่คุณต้องการใส่ไว้ต่อหน้า, เลือก 1,2,3, 4, 6 หรือ 9



เค้าโครงแบบหนึ่งสไลด์ต่อหนึ่งหน้า ที่มาพร้อมการกำหนดในแนวนอนจากซ้ายไปขวา และส่วนหัวและท้ายกระดาษ นั้นเราสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามต้องการ ข้อสังเกต หัวและท้ายของกระดาษในหน้าของเอกสารจะแยกออกจากสิ่งที่คุณเพิ่มเข้าไปในสไลด์ด้วยตัวเองอย่างชัดเจน
เค้าโครงแบบสามสไลด์ในหนึ่งหน้า ตัวเลือกนี้มีการกำหนดในแนวดิ่งด้วยและมาพร้อมกับบันทัดว่างให้ผู้ชมได้แสดงความคิดเห็น ในตัวอย่าง ส่วนหัวและส่วนท้ายนั้นถูกจัดไว้กึ่งกลาง คุณสามารถที่จะจัดตำแหน่ง ขนาดและแบบของส่วนหัวและท้ายได้จากเอกสารหน้าหลัก
เอกสารที่มี 6 สไลด์ต่อหนึ่งหน้า จะกำหนดตำแหน่งจากซ้ายไปขวา สำหรับสี่หรือมากกว่าสไลด์ในหนึ่งหน้า จงเลือกระหว่างการอ่านตามขวาง หรือ การอ่านลง
การพิมพ์เอกสารจากตัวอย่างก่อนพิมพ์
เปิดหน้าที่คุณต้องการจะพิมพ์
บนแถบเครื่องมือ Standard ให้คลิก Print Preview
ในกล่องPrint What บนแถบเครื่องมือ ให้คลิกตัวเลือกของแบบเอกสารแบบใดแบบหนึ่ง
ถ้าต้องการเลือกการจัดวางหน้า ให้คลิกปุ่ม Portrait หรือ Landscape
ถ้าต้องการเลือกสีหรือขาวดำ คลิกที่ลูกศรบนปุ่ม Options ชี้ไปที่ Color/Grayscale และเลือกหนึ่งในสามสีตัวเลือก
Color หรือ Color (บนเครื่องพิมพ์ขาวดำ) หากคุณพิมพ์ไปที่เครื่องพิมพ์สี ตัวเลือกนี้จะพิมพ์เอกสารเป็นสี หากคุณพิมพ์ไปที่เครื่องพิมพ์ขาวดำ ตัวเลือกนี้จะพิมพ์ตามสีที่มีทุกสีในเฉดสีเทา
Grayscale พิมพ์เอกสารในโทนสีเทาพร้อมด้วยสีบางสี อย่างเช่นการเติมสีพื้นหลังเข้าไป แสดงเป็นสีขาวเพื่อให้อ่านได้ง่าย (บางครั้ง ดูคล้ายกับ Pure Black and White)
Pure Black and White พิมพ์เอกสารโดยไม่มีสีเทา
ถ้าต้องการเพิ่มหรือเปลี่ยนแปลงข้อความที่หัวหรือท้ายกระดาษ ให้คลิกที่ปุ่ม Options และคลิก Header and Footer
เมื่อกำลังพิมพ์เอกสารที่มีสไลด์สี่หรือมากกว่าในหนึ่งหน้า ให้คลิกลูกศรบนปุ่ม Options ชี้ไปที่ Printing Order และเลือก Horizontal หรือ Vertical
คลิก Print เลือกตัวเลือกเพิ่มเติมในกล่องโต้ตอบ Print และคลิก OK
ตัวเลือกเพิ่มเติมในกล่องโต้ตอบ Print ในกล่องโต้ตอบ Print คุณสามารถที่จะเลือกการพิมพ์แบบอื่น ๆได้เช่นเดียวกับขอดูอีกครั้ง หรือแก้ไขสิ่งที่คุณเลือกจากตัวอย่างก่อนพิมพ์แล้ว ตัวเลือกบางอันที่มีในที่นี้แต่ไม่มีในตัวเลือกก่อนพิมพ์ คือ :
Print range หากว่าคุณต้องการจะพิมพ์หน้าปัจจุบันของเอกสาร คุณสามารถเลือก Current slide (หมายเหตุ ตัวเลือกนี้จะพิมพ์หน้าที่คุณเลือกเป็นหน้า 1 เสมอ ไม่ว่าจะมีการเรียงลำดับเอกสารทั้งหมดไว้ก่อนหน้านี้อย่างไร เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้ ปิดระบบการเรียงหน้าในกล่องโต้ตอบ Header and Footer ก่อนที่พิมพ์หน้าปัจจุบันของเอกสาร)
Number of copies คุณสามารถเลือกให้พิมพ์ได้หลายชุด
เปลี่ยนรูปลักษณ์หรือตำแหน่งของส่วนหัวและท้ายกระดาษ
หากว่าคุณต้องการส่วนหัวหรือท้ายกระดาษให้มีขนาดและตำแหน่งไม่เท่ากัน หรือคุณต้องการที่จะเปลี่ยนแบบอักษร, ให้เข้าไปเปลี่ยนที่หน้าหลักของเอกสาร การเปลี่ยนแปลงส่วนหัวและท้ายของกระดาษที่คุณทำขึ้นในหน้าหลักของเอกสารจะส่งผลถึงหัวข้อที่พิมพ์ไปแล้วด้วย
ในตัวอย่างพิมพ์ ในกล่อง Print What เลือกชนิดของเอกสารที่ต้องการ จากนั้นคลิกปุ่ม Close
ในมุมมองปกติ บนเมนู View ให้ชี้ไปที่ Master และคลิก Handout Master
เลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่ง:
เพื่อย้ายplaceholderที่ส่วนหัวและท้ายของเอกสาร, ใช้ตัวชี้ชี้ไปที่บริเวณดังกล่าว และเมื่อตัวชี้กลายเป็นลูกศรสี่หัว ลากplaceholder ไปยังตำแหน่งใหม่
เพื่อปรับขนาดของplaceholder ของส่วนหัวและท้าย เลือกบริเวณดังกล่าว ใช้ตัวชี้ชี้ไปที่คำสั่งระบุขนาดและเมื่อตัวชี้กลายลูกศรสองหัว ลากรูปมือ
เพื่อเปลี่ยนตัวหนังสือที่หัวและท้ายเอกสาร เลือกplaceholder และบนเมนู Format ให้คลิก Font และเลือกตัวเลือกในกล่องโต้ตอบ Font
เพื่อเปลี่ยน fill colour หรือขอบนอกของplaceholder , เลือก placeholder และไปที่ เมนู Format คลิก Placeholder คลิกแท็บ Colors and Lines และเลือกตัวเลือกใต้คำว่า Fill and Line
เพื่อที่จะดูว่าเมื่อเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เอกสารพร้อมทั้งหัวและท้ายกระดาษเป็นอย่างไร ให้คลิกปุ่ม Print Preview บนแถบเครื่องมือ Standard ถ้าคุณแค่ต้องการปิดหน้าหลักของเอกสารให้ไปที่แถบเครื่องมือ Handout Master View คลิก Close Master View
หมายเหตุ หากว่าคุณลบ placeholder ในเอกสารหน้าหลัก คุณสามารถreapply placeholder ในมุมมองของเอกสารหลักได้ บนเมนู Format ให้คลิก Handout Master Layout เลือกกล่องกาเครื่องหมายสำหรับ placeholder ที่คุณต้องการ และคลิก OK
ทางเลือกของเค้าโครง
หากว่าคุณต้องการชนิดของเค้าโครงที่ไม่มีใน PowerPoint, สามารถจะสร้างเอกสารเพิ่มขึ้นได้ใน Word
บนเมนู File ให้ชี้ไปที่ Send To คลิก Microsoft Word และเลือกตัวเลือกเค้าโครง
ยกตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการพิมพ์สามสไลด์ต่อหนึ่งหน้า แต่ไม่ต้องการบรรทัดสำหรับความคิดเห็นของผู้ชม ส่งเอกสารไปที่ Word เลือกตัวเลือก Blank lines next to slides และลบบรรทัดใน Word สำหรับตัวเลือกข้อคิดเห็นในWord ให้เลือก Blank lines below slides ซึ่งรวมบรรทัดว่างสำหรับความคิดเห็นของผู้ชมที่มาพร้อมกับเค้าโครงแบบหนึ่งสไลด์ต่อหนึ่งหน้า ในรูปแบบแนวดิ่ง
หากว่าคุณต้องการตัวเลือกของการพิมพ์หน้าเอกสารแบบหน้าเดียวในขณะที่รักษาเลขหน้าที่ถูกต้องเอาไว้ได้ ส่งpresentation ไปยัง Word โดยใช้รูปแบบที่มีให้ดังนี้ ใช้หัวกระดาษและท้ายกระดาษใน Word เพื่อให้หมายเลขหน้า หากว่าคุณต้องการที่จะพิมพ์หน้าเดียว ให้เลือกหน้าที่คุณต้องการเพื่อที่จะพิมพ์
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเอกสารหรือหัวข้อที่เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาของเอกสารต่าง ๆให้ดูใน วิธีใช้Microsoft PowerPoint

โปรเเกรม Microsolf Word 2002

สารบัญคืออะไร
สารบัญ หรือ TOC คือรายการหัวข้อในเอกสาร โดยทั่วไป สารบัญประกอบด้วย เลขหน้าของแต่ละหัวข้อ (ในเอกสารหนึ่งๆ ) หรือลิงค์ไปสู่ section ที่หัวข้อนั้นปรากฏอยู่ (บนเว็บไซด์) คุณสามารถใช้สารบัญเป็นตัวให้ข้อมูลคร่าวๆ แก่ผู้อ่านเกี่ยวกับหัวข้อของคุณ หรือช่วยผู้อ่านหาหน้าเริ่มแรกของเนื้อหาหรือหน้าแรกของ section
ใน Microsoft Word 2002, คุณมีตัวเลือกต่างๆ มากมายในการสร้างสารบัญ คุณสามารถเลือกตำแหน่งที่ใส่สารบัญบนเอกสารหรือเว็บเพจ, เนื้อหาและรูปแบบของแต่ละรายการ, และต้องการให้มีเลขหน้าหรือไม่ ตัวอย่างเช่น ครูต้องการใช้สารบัญในตารางการสอนหรือเอกสารอบรม เพื่อให้นักเรียนทราบโครงร่างการสอนของวิชานั้นและสามารถหาหัวข้อๆ หนึ่งจากที่ใด นักเรียนอาจต้องใส่สารบัญลงในรายงานค้นคว้าของตัวเอง หรือชั้นเรียนหนึ่งๆ อาจมีเว็บไซด์สำหรับใช้เป็นแหล่งข้อมูลส่วนกลางร่วมกันและติดตามการสั่งการบ้าน ซึ่งการใส่สารบัญลงในโฮมเพจจะช่วยให้หาสิ่งต่างๆ ได้ง่ายขึ้น
TOC ในเอกสารประกอบด้วยรายการหัวข้อหรือหัวเรื่อง ตัวนำแท็บ (เส้นตรง เส้นจุด หรือเส้นปะที่จะแทนที่แท็บ) และหมายเลขหน้า โดยสองรายการหลังเป็นตัวเลือก เมื่ออยู่บนเว็บเพจ การเชื่อมโยงหลายมิติหรือที่เรียกว่าไฮเปอร์ลิงค์จะปรากฏแทนหมายเลขหน้า










ตัวอย่างสารบัญ
ข้อมูลในสารบัญแต่ละข้อมูลมีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า ลักษณะ (TOC 1 - TOC 9) ลักษณะเป็นตัวกำหนดการจัดรูปแบบของข้อมูลนั้น เช่น การเยื้องและแบบอักษร ข้อมูลแต่ละข้อมูลของ TOC ยังกำหนดจากระดับของ TOC (1-9) ที่แสดงให้ทราบว่ามีการใช้ลักษณะ TOC ใดสำหรับข้อมูลนั้น คุณสามารถสร้างลักษณะของคุณเองหรือใช้ลักษณะข้อมูล TOC ที่สร้างไว้แล้วในโปรแกรม Word ต่อไปนี้คือ ตัวอย่างของรูปแบบที่มีอยู่แล้วในโปรแกรม






การสร้างสารบัญในโปรแกรม Word ประกอบด้วยสองขั้นตอนใหญ่ๆ ขั้นแรก, คุณต้องทำเครื่องหมายข้อความในเอกสารที่คุณต้องการรวมไว้ในสารบัญ การทำเครื่องหมายดังกล่าวหมายถึงการระบุข้อความที่คุณต้องการอย่างเจาะจงสำหรับให้ปรากฏเป็นรายการของสารบัญ ข้อความนี้มักเป็นหัวเรื่อง, ชื่อเรื่อง, หรือหัวเรื่องย่อยซึ่งแสดงลำดับของจุดสำคัญ ขั้นที่สอง, คุณต้องทำการแทรกหรืออัพเดทสารบัญจริง ๆ
วิธีทำเครื่องหมายข้อความเพื่อรวมไว้ในสารบัญ
เมื่อคุณแทรกหรืออัพเดทสารบัญ, Word จะทำการทบทวนข้อความที่คุณทำเครื่องหมายไว้ทั้งหมดในเอกสารนั้น โปรแกรมจะเรียงข้อความที่ถูกทำเครื่องหมายไว้ตามลำดับ, ตรวจสอบระดับชั้นของสารบัญ, และตรวจสอบหมายเลขหน้าของแต่ละรายการ มีวิธีการทำเครื่องหมายข้อความที่คุณต้องการรวมไว้ในสารบัญหลายวิธี คุณอาจใช้ลักษณะหัวเรื่องที่สร้างไว้แล้วในโปรแกรม Word (หัวเรื่อง 1, หัวเรื่อง 2, เป็นต้น), การจัดรูปแบบระดับเค้าร่าง, ลักษณะหัวเรื่องที่คุณกำหนดขึ้นเอง, เขตข้อมูล TC, หรือรูปแบบผสมของวิธีข้างต้น ลองมาศึกษาแต่ละตัวเลือกของวิธีการทำเครื่องหมายข้อความ ดังต่อไปนี้
ลักษณะหัวเรื่องที่สร้างไว้แล้วในโปรแกรม
ลักษณะหัวเรื่องหนึ่งๆ เป็นการผสมผสานตัวเลือกการจัดรูปแบบต่างๆ เข้าด้วยกัน (เช่น ชนิดตัวอักษร, ขนาด, และ สี) สำหรับใช้กับหัวเรื่องในเอกสารของคุณ โปรแกรม Word 2002 มีลักษณะหัวเรื่องที่สร้างไว้แล้วในโปรแกรมถึง 9 แบบต่างๆ กัน, หัวเรื่อง 1 ถึง หัวเรื่อง 9
การตรวจสอบดูลักษณะของข้อความของคุณทำได้โดย เลือกบางส่วนของเนื้อหาในเอกสารของคุณ แล้วไปที่กล่อง Style บนแถบเครื่องมือ จัดรูปแบบ ถ้าคุณใช้ลักษณะหัวเรื่องที่สร้างไว้แล้ว แบบใดแบบหนึ่งของโปรแกรมเวิร์ดในการจัดรูปแบบหัวเรื่องที่คุณต้องการให้รวมไว้ในสารบัญ คุณสามารถเลือกระดับชั้นสารบัญ สำหรับแต่ละลักษณะหัวเรื่องจากกล่องโต้ตอบ ตัวเลือกของสารบัญ เพื่อรวมไว้ใน TOC ของคุณ
การจัดรูปแบบระดับเค้าร่าง
การจัดรูปแบบระดับเค้าร่าง คือ การจัดรูปแบบที่คุณสามารถใช้เพื่อกำหนดระดับชั้น (ระดับ 1 - ระดับ 9) ให้กับย่อหน้าในเอกสาร คุณจะมองไม่เห็นการจัดรูปแบบนี้ การใช้การจัดรูปแบบระดับเค้าร่างเป็น ระดับ 1 กับย่อหน้าจะไม่เปลี่ยนแปลงรูปแบบที่มองเห็น (การจัดตำแหน่ง สีของแบบอักษร ฯลฯ) ทุกย่อหน้าในเอกสารล้วนแต่ใช้รูปแบบระดับเค้าร่างด้วยกันทั้งหมด ซึ่งอาจเป็นในลักษณะตัวเนื้อความ (ไม่มีระดับเค้าร่าง) หรือ ระดับ ระดับ 1 ระดับ 2 เช่นนี้)
หลังจากเลือกหัวเรื่องที่ต้องการรวมไว้ใน TOC และเลือกระดับจากกล่องระดับเค้าร่าง คุณสามารถปรับใช้ระดับเค้าร่าง เพื่อทำเครื่องหมายกำกับหัวเรื่อง ที่จะรวมเข้ากับ TOC ของคุณโดยไม่เปลี่ยนรูปลักษณ์ของหัวเรื่อง
หมายเหตุ ลักษณะหัวเรื่องที่สร้างไว้แล้วแต่ละลักษณะมีรูปแบบระดับเค้าร่างที่สอดคล้องกันกำหนดไว้ให้ นั่นคือ หัวเรื่อง 1 มี ระดับ 1 รูปแบบระดับเค้าร่าง หัวเรื่อง 2 มี ระดับ 2 รูปแบบระดับเค้าร่าง เป็นต้น
ลักษณะหัวเรื่องที่คุณกำหนดเอง
ลักษณะหัวเรื่องที่กำหนดเอง คือลักษณะที่คุณกำหนดขึ้นไว้ใช้เอง ถ้าคุณใช้ลักษณะหัวเรื่องที่กำหนดเองไปจัดรูปแบบหัวเรื่องที่ต้องการในสารบัญ, คุณสามารถเลือกระดับชั้นสำหรับลักษณะหัวเรื่องได้จากกล่องโต้ตอบ ตัวเลือกของสารบัญ เพื่อรวมไว้ใน TOC ของคุณ
เขตข้อมูล TC
เขตข้อมูล TC, หรือ table entry field, เป็นรหัสพิเศษที่ถูกกำหนดเป็นอักษร TC อยู่ภายในเครื่องหมายปีกกา, ดังนี้: {TC}. รหัสนี้กำหนดให้โปรแกรม Word ทำการแทรกข้อความที่อยู่ภายในรหัสเข้าไว้ในสารบัญ การรวมข้อความที่อยู่ในส่วนกลางของย่อหน้าเข้าในสารบัญ, คุณสามารถแทรกเขตข้อมูล TC ซึ่งมีข้อความที่คุณต้องการ (ถึงแม้ว่าคุณอาจทำเครื่องหมายบางส่วนของย่อหน้าด้วยลักษณะหัวเรื่อง, Microsoft Word จะรวมข้อความนั้นเข้าในสารบัญได้ก็ต่อเมื่อข้อความที่ทำเครื่องหมายไว้อยู่ที่ส่วนต้นของย่อหน้าเท่านั้น)
คุณสามารถใช้เขตข้อมูล TC สำหรับจัดรูปแบบจำเพาะให้กับสารบัญ ตัวอย่างเช่น, คุณสามารถใช้เขตข้อมูล TC เพื่อละเว้นหมายเลขหน้าบนบางส่วนของสารบัญโดยการเพิ่ม switch (\) ในเขตข้อมูล TC ของรายการนั้น (ดูต่อใน บันทึกย่อเกี่ยวกับการใช้เครื่องหมายขีดในเขตข้อมูล TC)
ถ้าต้องการทำเครื่องหมายกำกับสารบัญด้วยเขตข้อมูล TC ให้เลือกข้อความที่คุณต้องการให้ปรากฏในสารบัญ แล้วจึงกด ALT+SHIFT+O การทำเช่นนี้จะทำให้กล่องโต้ตอบทำเครื่องหมายรายการสารบัญ





เขตข้อมูล TC สำหรับรายการสารบัญ "Sit Amet." เขตข้อมูล TC ถูกจัดรูปแบบให้เป็นข้อความที่ซ่อนไว้
กล่องโต้ตอบ ทำเครื่องหมายรายการสารบัญ{
ในตัวอย่างนี้, ผู้ใช้เลือกข้อความ "Sit Amet" แล้วแสดงกล่องโต้ตอบ ทำเครื่องหมายรายการสารบัญ ตัวเลือกที่เลือกไว้แสดงว่ารายการสารบัญ "Sit Amet" จะปรากฏในสารบัญเป็นรายการระดับ 3 (จัดรูปแบบด้วยลักษณะหัวเรื่อง 3) ปุ่ม ทำเครื่องหมาย ทำการแทรกเขตข้อมูลลงในเอกสาร ({TC "Sit Amet" \f C \l "3"} ในตัวอย่างนี้)
เนื่องจากรหัสในเขตข้อมูล TC เป็นเพียงคำสั่งสำหรับโปรแกรม Word, เขตข้อมูล TC จึงถูกจัดรูปแบบให้เป็นข้อความที่ถูกซ่อนไว้ — มันจะไม่ปรากฏบนจอนอกจากจะมีการสั่งให้แสดงข้อความที่ซ่อนไว้, และมันจะไม่ถูกพิมพ์ออกมา (การดูข้อความที่ซ่อนไว้, คลิก แสดง/ซ่อน บนแถบเครื่องมือมาตรฐาน)





ตัวอย่างข้อมูล TC จำนวน 5 ตัวอย่าง พร้อมระดับ TOC ที่กำหนด ตัวอย่างเช่น {TC "Ipsum" \l 2} ทำเครื่องหมายข้อมูล TOC "Ipsum" ด้วยคำว่า ระดับ-2
ข้อมูลที่ตรงกันเมื่อสร้าง TOC ข้อมูล "Ipsum" ุถูกจัดรูปแบบด้วยลักษณะ TOC 2
บันทึกย่อเกี่ยวกับการใช้เครื่องหมายขีดในเขตข้อมูล TC
เครื่องหมายขีดในเขตข้อมูล TC ที่ปรากฏเป็นเครื่องหมายขีดขวาง (\) จะช่วยให้คุณสามารถควบคุมลักษณะที่ข้อมูลจะปรากฏในรายการหัวข้อได้เพิ่มเติม เครื่องหมาย \l ควบคุมระดับ TOC ของข้อมูล TC ตัวอย่างเช่น เขตข้อมูล { TC "Entering Data" \l 4 } แสดงด้วยข้อมูลระดับ-4 และโปรแกรม Microsoft Word ใช้ลักษณะ TOC 4 ที่สร้างขึ้นไว้แล้วกับข้อมูลเดียวกันนี้ที่อยู่ในสารบัญ หากไม่ได้กำหนดระดับใดเป็นการเฉพาะ จะมีการสมมุติให้ใช้ระดับ 1 ในทันที ถ้าต้องการลบหมายเลขหน้าออกจากข้อมูล ให้รวมเครื่องหมาย \n ไว้ในเขตข้อมูล TC สำหรับข้อมูลนั้น ตัวอย่างเช่น {TC "Entering Data" \l 4 \n}
ตัวเลือกสำหรับแทรกสารบัญ
แท็บ ตารางสารบัญ ในกล่องโต้ตอบ ดัชนีและตาราง มีตัวเลือกสำหรับการแทรกและจัดรูปแบบสารบัญ เมื่อต้องการใช้งาน:
บนเมนู แทรก ในโปรแกรม Word ให้ชี้ไปที่ Reference
คลิกดัชนีและตาราง และคลิกแท็บ ตารางสารบัญ





คุณยังสามารถใช้แท็บตารางสารบัญ เพื่อแสดงผลแถบเครื่องมือ เค้าร่าง ด้วยแถบเครื่องมือ เค้าร่าง คุณจะสามารถ:
ปรับใช้ระดับเค้าร่างได้อย่างรวดเร็ว (แม้กระทั่งในมุมมองอื่นที่ไม่ใช่มุมมองเค้าร่าง)
ปรับปรุงข้อมูลในสารบัญให้เป็นปัจจุบัน
กลับไปยังหน้าสารบัญจากบริเวณใดๆ บนเอกสารที่คุณกำลังใช้งานอยู่
ปุ่ม ปรับปรุง TOC และปุ่ม ไปที่ TOC ใช้ทำงานได้กับสารบัญชุดแรกของเอกสารเท่านั้น และใช้กับสารบัญที่สร้างจากลักษณะที่สร้างไว้แล้วโดยโปรแกรม Word เท่านั้น
ปุ่ม ตัวเลือก แสดงกล่องโต้ตอบตัวเลือกตารางสารบัญและเปิดโอกาสให้คุณเลือกข้อมูลที่คุณต้องการรวมไว้ใน TOC (ขึ้นอยู่กับวิธีที่คุณทำเครื่องหมายข้อความในเอกสาร) ตัวเลือกที่คุณเลือก จะระบุวว่า ข้อมูลนั้นถูกทำเครื่องหมายโดยสไตล์เฉพาะ โดยระดับเค้าร่าง ในฐานะเขตข้อมูลของตาราง (เขตข้อมูล TC) หรือโดยการรวมตัวเลือกต่าง ๆ เหล่านี้
หากคุณใช้ลักษณะหัวเรื่องที่มีอยู่กับโปรแกรมนั้นแล้วเพื่อจัดรูปแบบหัวเรื่องที่คุณต้องการรวมไว้ใน TOC ให้ใส่ระดับ TOC (1-9) ที่เหมือนกับระดับหัวเรื่อง (ระดับ TOC 1 สำหรับหัวเรื่อง 1 เช่นนี้ไปเรื่อย ๆ) ในรายการลักษณะที่มีอยู่{
หากคุณใช้ระดับเค้าร่างเพื่อทำเครื่องหมายหัวเรื่อง คุณสามารถเลือกตัวเลือกระดับเค้าร่าง{
หากคุณใช้ลักษณะที่เลือกกำหนดเองเพื่อจัดรูปแบบหัวเรื่องที่คุณต้องการรวมไว้ใน TOC ของคุณ ให้ใส่ระดับ TOC (1-9) สำหรับหัวเรื่องแต่ละรายการที่คุณต้องการไว้ในรายการลักษณะที่มีอยู่{
หากคุณใช้เขตข้อมูล TC เพื่อทำเครื่องหมายข้อมูลที่คุณต้องการรวมไว้ใน TOC ของคุณ ให้เลือกกล่อง{
เมื่อคุณแทรก TOC ของคุณแล้ว จำไว้ว่า ปุ่ม แก้ไข บน กล่องโต้ตอบดัชนีและตาราง จะอนุญาตให้คุณเปลี่ยนรูปแบบของข้อมูลที่อยู่ใน TOC
หมายเหตุ ปุ่ม แก้ไข จะนำมาใช้งานได้ก็ต่อเนื่องได้เลือกจากแม่แบบ ในรายการ รูปแบบ นอกจากนี้, ถ้าคุณเปลี่ยนรูปแบบของลักษณะรายการสารบัญอันหนึ่ง (เช่น TOC 1), เท่ากับว่าคุณได้เปลี่ยนรูปแบบของรายการสารบัญอื่นๆ ในเอกสารที่ใช้ลักษณะรูปแบบเดียวกัน ตัวอย่างเช่น, คุณไม่สามารถทำการแทรกสารบัญอันหนึ่งด้วยลักษณะคลาสสิค, แล้วเพิ่มสารบัญที่สองในเอกสารเดียวกันด้วยลักษณะสมัยใหม่
การเพิ่มสารบัญลงในเว็บเพจ
คุณสามารถสร้างสารบัญสำหรับใช้กับเว็บเพจได้ โดยที่สารบัญนั้นจะแสดงอยู่ในเฟรมเดียวกันกับตัวเนี้อหา (ดังเช่นสารบัญที่ปรากฏอยู่ตอนต้นของบทความนี้) หรืออยู่ในเฟรมแยกต่างหากจากเนื้อหาของเว็บเพจ ซึ่งมีผลให้หน้าสารบัญยังคงแสดงอยู่ ขณะที่คุณกำลังดูเนื้อหาของเว็บเพจในอีกเฟรมหนึ่ง (ดังที่แสดงไว้ข้างล่างนี้)
TOC บนเว็บเพจใช้การเชื่อมโยงหลายมิติหรือไฮเปอร์ลิงค์แทนหมายเลขหน้า: กล่าวคือ TOC แต่ละรายการมักมีข้อความที่เชื่อมโยงกันอยู่ การเชื่อมโยงหรือลิงค์นี้มีประโยชน์หากคุณต้องการสำรวจเว็บเพจอย่างรวดเร็ว และใช้สำหรับดูสรุปเนื้อหาของเว็บเพจ เมื่อคุณสลับมาที่มุมมองเค้าโครงเว็บในเอกสารที่มี TOC รายการ TOC จะแสดงผลเป็นการเชื่อมโยงหลายมิติแทนรายการข้อมูลพร้อมหมายเลขหน้า

ในการแทรกและแสดงสารบัญไว้ในเฟรมเดียวกับส่วนข้อความ ให้ใช้แท็บตารางสารบัญ ในกล่องโต้ตอบ ดัชนีและตาราง ในการแทรกสารบัญไว้ในเฟรมแยกต่างหาก ชี้เมาส์ไปที่ เฟรม บนเมนูรูปแบบและคลิกตารางสารบัญในเฟรม
คุณสามารถกำหนด TOC ในแบบที่คุณต้องการเพื่อให้คุณสร้างในเฟรมโดยใช้คำสั่ง ดัชนีและตาราง (บนเมนู แทรก แท็บ ตารางสารบัญ) อย่างไรก็ดี เฟรมที่ประกอบด้วย TOC ต้องเป็นเฟรมที่ใช้อยู่ในขณะนั้น (กล่าวคือ คุณต้องคลิกภายในเฟรม) เมื่อคุณเลือกกำหนดตามความต้องการ
แป้นพิมพ์ลัดสำหรับใช้สารบัญ
เมื่อคุณแทรก TOC เขตข้อมูล TOC จะถูกเพิ่มลงในเอกสารของคุณ เขตข้อมูลนี้ประกอบด้วย "รหัส" ที่จะแนะนำให้โปรแกรม Word สร้างและแสดงผล TOC ของคุณ เมื่อคุณสลับรหัสเขตข้อมูล (ด้วยการเลือก TOC และกด SHIFT+F9) ุคุณจะสามารถมองเห็นรหัสที่สร้าง TOC ของคุณ
จริง ๆ แล้ว TOC เป็นเขตข้อมูล มีปุ่มวิธีลัดหลายปุ่มที่สามารถนำมาใช้ร่วมกับเขตข้อมูลที่คุณยังสามารถใช้เพื่อทำงานร่วมกับ TOC ของคุณ:
F9 ปรับปรุง TOC ที่เลือกเมื่อคุณปรับปรุงข้อมูลในสารบัญให้เป็นข้อมูลปัจจุบันด้วยการกดปุ่ม F9 หรือด้วยการใช้ปุ่มปรับปรุง TOC แสดงว่า คุณอาจเลือกปรับปรุงหมายเลขหน้าเพียงอย่างเดียวหรือปรับปรุงเนื้อหาทั้งหมดของ TOC หากหมายเลขหน้าสำหรับรายการ TOC เปลี่ยนแปลงไปเพราะคุณได้แก้ไขเอกสาร คุณเพียงแค่ปรับเปลี่ยนหมายเลขเท่านั้น อย่างไรก็ดี หากคุณได้เพิ่ม ย้ายหรือปรับเปลี่ยนข้อความที่ทำเครื่องหมายว่าเป็นรายการ TOC คุณจำเป็นต้องปรับปรุงเนื้อหาทั้งหมดของ TOC
CTRL+SHIFT+F9 ยกเลิกเชื่อมโยง TOC ที่เลือก เนื่องจากโดยแท้จริงแล้ว สารบัญของคุณเป็นเขตข้อมูลรหัส (เขตข้อมูล {TOC}) คุณสามารถยกเลิกการเชื่อมโยงสารบัญของคุณเพื่อทำการแก้ไขภายในตัวสารบัญเองได้อย่างรวดเร็ว (เช่น เมื่อต้องการแก้ไขสารบัญโดยกะทันหันก่อนพิมพ์) อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้ว คุณไม่ควรปิดกั้นสารบัญจากการถูกปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน
SHIFT+F9 สลับระหว่างรหัสเขตข้อมูล TOC ที่เลือก ({TOC}) และผลลัพธ์ที่ได้ (TOC ที่แท้จริง)
ALT+F9 สลับระหว่างการแสดงผลรหัสเขตข้อมูลทั้งหมดในเอกสาร (เช่น {TOC} และ {TC}) และผลลัพธ์ที่ได้ (เช่น TOC ของคุณ)
ALT+SHIFT+O ทำเครื่องหมายเพื่อเลือกส่วนข้อความของเอกสารที่คุณต้องการให้รวมไว้ในสารบัญ ข้อความที่ถูกเลือกจะแสดงไว้ด้วยเครื่องหมายเขตข้อมูล TC
วิธีสร้างและทำงานร่วมกับสารบัญ
ต่อไปนี้คือ หัวข้อวิธีใช้บางหัวข้อจากโปรแกรม Microsoft Word ที่อธิบายวิธีทำงานเฉพาะร่วมกับ TOC ของคุณ
สร้างตารางสารบัญ
ปรับปรุงตารางสารบัญ
เปลี่ยนรูปลักษณ์ของสารบัญ ดัชนี ตารางอำนาจหน้าที่ หรือตารางรูปภาพ
รหัสเขตข้อมูล: เขตข้อมูล TC (ข้อมูลของตารางสารบัญ)
ลบตารางสารบัญ
สร้างสารบัญในเว็บเฟรม
(Q285050) วิธีการ: การใช้ระดับเค้าร่างเพื่อสร้างสารบัญในโปรแกรม Word 2002

ผังงาน

ผังงาน (Flowchart)
ความหมายของผังงาน



ผังงาน (Flowchart) คือ รูปภาพ (Image) หรือสัญลักษณ์(Symbol) ที่ใช้เขียนแทนขั้นตอน คำอธิบาย ข้อความ หรือคำพูด ที่ใช้ในอัลกอริทึม (Algorithm) เพราะการนำเสนอขั้นตอนของงานให้เข้าใจตรงกัน ระหว่างผู้เกี่ยวข้อง ด้วยคำพูด หรือข้อความทำได้ยากกว่า ผังงานแบ่งได้ 2 ประเภท




1. ผังงานระบบ (System Flowchart) คือ ผังงานที่แสดงขั้นตอนการทำงานในระบบอย่างกว้าง ๆ แต่ไม่เจาะลงในระบบงานย่อย




2. ผังงานโปรแกรม (Program Flowchart) คือ ผังงานที่แสดงถึงขั้นตอนในการทำงานของโปรแกรม ตั้งแต่รับข้อมูล คำนวณ จนถึงแสดงผลลัพธ์ ประโยชน์ของผังงาน




1. ทำให้เข้าใจ และแยกแยะปัญหาได้ง่าย (Problem Define)




2. แสดงลำดับการทำงาน (Step Flowing)




3. หาข้อผิดพลาดได้ง่าย (Easy to Debug)




4. ทำความเข้าใจโปรแกรมได้ง่าย (Easy to Read)




5. ไม่ขึ้นกับภาษาใดภาษาหนึ่ง (Flexible Language)
















การโปรแกรมแบบมีโครงสร้าง หรือ การโปรแกรมโครงสร้าง ประกอบด้วยอะไรบ้าง
ผมขอตอบอย่างสั้น ๆ ว่าทุกภาษาต้องมีหลักการ 3 อย่างนี้คือ การทำงานแบบตามลำดับ(Sequence) การเลือกกระทำตามเงื่อนไข(Decision) และ การทำซ้ำ(Loop) แม้ตำราหลาย ๆ เล่มจะบอกว่า decision แยกเป็น if กับ case หรือ loop นั้นยังแยกเป็น while และ until ซึ่งแตกต่างกัน แต่ผมก็ยังนับว่าการเขียนโปรแกรม แบบมีโครงสร้างนั้น มองให้ออกแค่ 3 อย่างก็พอแล้ว และหลายท่านอาจเถียงผมว่าบางภาษาไม่จำเป็นต้องใช้ Structure Programming แต่เท่าที่ผมศึกษามา ยังไม่มีภาษาใด เลิกใช้หลักการทั้ง 3 นี้อย่างสิ้นเชิง เช่น MS Access ที่หลายคนบอกว่าง่าย ซึ่งก็อาจจะง่ายจริง ถ้าจะศึกษาเพื่อสั่งให้ทำงานตาม wizard หรือตามที่เขาออกแบบมาให้ใช้ แต่ถ้าจะนำมาใช้งานจริง ตามความต้องการของผู้ใช้แล้ว ต้องใช้ประสบการณ์ในการเขียน Structure Programming เพื่อสร้าง Module สำหรับควบคุม Object ทั้งหมดให้ทำงานประสานกัน





1. การทำงานแบบตามลำดับ(Sequence) : รูปแบบการเขียนโปรแกรมที่ง่ายที่สุดคือ เขียนให้ทำงานจากบนลงล่าง




เขียนคำสั่งเป็นบรรทัด และทำทีละบรรทัดจากบรรทัดบนสุดลงไปจนถึงบรรทัดล่างสุด สมมติให้มีการทำงาน 3 กระบวนการคือ




อ่านข้อมูล คำนวณ และพิมพ์








2. การเลือกกระทำตามเงื่อนไข(Decision or Selection) : การตัดสินใจ หรือเลือกเงื่อนไขคือ เขียนโปรแกรมเพื่อนำค่าไปเลือกกระทำ โดยปกติจะมีเหตุการณ์ให้ทำ 2 กระบวนการ คือเงื่อนไขเป็นจริงจะกระทำกระบวนการหนึ่ง และเป็นเท็จจะกระทำอีกกระบวนการหนึ่ง แต่ถ้าซับซ้อนมากขึ้น จะต้องใช้เงื่อนไขหลายชั้น เช่นการตัดเกรดนักศึกษา เป็นต้น ตัวอย่างผังงานนี้ จะแสดงผลการเลือกอย่างง่าย
3. การทำซ้ำ(Repeation or Loop) : การทำกระบวนการหนึ่งหลายครั้ง โดยมีเงื่อนไขในการควบคุม หมายถึงการทำซ้ำเป็นหลักการที่ทำความเข้าใจได้ยากกว่า 2 รูปแบบแรก เพราะการเขียนโปรแกรมแต่ละภาษา จะไม่แสดงภาพอย่างชัดเจนเหมือนการเขียนผังงาน ผู้เขียนโปรแกรมต้องจินตนาการด้วยตนเอง

ระบบสารสนเทศ


ระบบสารสนเทศ (Information system)

ระบบสารสนเทศ (Information system) หมายถึง ระบบที่ประกอบด้วยส่วนต่างๆ ได้แก่ ระบบคอมพิวเตอร์ทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟท์แวร์ ระบบเครือข่าย ฐานข้อมูล ผู้พัฒนาระบบ ผู้ใช้ระบบ พนักงานที่เกี่ยวข้อง และ ผู้เชี่ยวชาญในสาขา ทุกองค์ประกอบนี้ทำงานร่วมกันเพื่อกำหนด รวบรวม จัดเก็บข้อมูล ประมวลผลข้อมูลเพื่อสร้างสารสนเทศ และส่งผลลัพธ์หรือสารสนเทศที่ได้ให้ผู้ใช้เพื่อช่วยสนับสนุนการทำงาน การตัดสินใจ การวางแผน การบริหาร การควบคุม การวิเคราะห์และติดตามผลการดำเนินงานขององค์กร (สุชาดา กีระนันทน์, 2541)

ระบบสารสนเทศ หมายถึง ชุดขององค์ประกอบที่ทำหน้าที่รวบรวม ประมวลผล จัดเก็บ และแจกจ่ายสารสนเทศ เพื่อช่วยการตัดสินใจ และการควบคุมในองค์กร ในการทำงานของระบบสารสนเทศประกอบไปด้วยกิจกรรม 3 อย่าง คือ การนำข้อมูลเข้าสู่ระบบ (Input) การประมวลผล (Processing) และ การนำเสนอผลลัพธ์ (Output) ระบบสารสนเทศอาจจะมีการสะท้อนกลับ (Feedback) เพื่อการประเมินและปรับปรุงข้อมูลนำเข้า ระบบสารสนเทศอาจจะเป็นระบบที่ประมวลด้วยมือ(Manual) หรือระบบที่ใช้คอมพิวเตอร์ก็ได้ (Computer-based information system –CBIS) (Laudon & Laudon, 2001)
แต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบันเมื่อกล่าวถึงระบบสารสนเทศ มักจะหมายถึงระบบที่ต้องอาศัยคอมพิวเตอร์และระบบโทรคมนาคม

ระบบสารสนเทศ หมายถึง ระบบคอมพิวเตอร์ที่จัดเก็บข้อมูล และประมวลผลเป็นสารสนเทศ และระบบสารสนเทศเป็นระบบที่ต้องอาศัยฐานข้อมูล (CIS 105 -- Survey of Computer Information Systems, n.d.)
ระบบสารสนเทศ หมายถึง ชุดของกระบวนการ บุคคล และเครื่องมือ ที่จะเปลี่ยนข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ (FAO Corporate Document Repository, 1998) ระบบสารสนเทศ ไม่ว่าจะเป็นระบบมือหรือระบบอัตโนมัติ หมายถึง ระบบที่ประกอบด้วย คน เครื่องจักรกล(machine) และวิธีการในการเก็บข้อมูล ประมวลผลข้อมูล และเผยแพร่ข้อมูล ให้อยู่ในลักษณะของสารสนเทศของผู้ใช้ (Information system, 2005)

สรุปได้ว่า ระบบสารสนเทศ ก็คือ ระบบของการจัดเก็บ ประมวลผลข้อมูล โดยอาศัยบุคคลและเทคโนโลยีสารสนเทศในการดำเนินการ เพื่อให้ได้สารสนเทศที่เหมาะสมกับงานหรือภารกิจแต่ละอย่าง

Laudon & Laudon (2001) ยังอธิบายว่าในมิติทางธุรกิจ ระบบสารสนเทศเป็นระบบที่ช่วยแก้ปัญหาการจัดการขององค์กร ซึ่งถูกท้าทายจากสิ่งแวดล้อม ดังนั้นการใช้ระบบสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นที่จะต้องเข้าใจองค์กร(Organzations) การจัดการ (management) และเทคโนโลยี (Technology)

ประเภทของระบบสารสนเทศ

ปัจจุบันจะเห็นความสัมพันธ์ระหว่างองค์กร กับระบบสารสนเทศ และเทคโนโลยีสารสนเทศชัดเจนมากขึ้น และเนื่องจากการบริหารงานในองค์กรมีหลายระดับ กิจกรรมขององค์กรแต่ละประเภทอาจจะแตกต่างกัน ดังนั้นระบบสารสนเทศของแต่ละองค์กรอาจแบ่งประเภทแตกต่างกันออกไป
(สุชาดา กีระนันทน์, 2541)

ถ้าพิจารณาจำแนกระบบสารสนเทศตามการสนับสนุนระดับการทำงานในองค์กร จะแบ่งระบบสารสนเทศได้เป็น 4 ประเภท ดังนี้ (Laudon & Laudon, 2001)

1. ระบบสารสนเทศสำหรับระดับผู้ปฏิบัติงาน (Operational – level systems) ช่วยสนับสนุนการทำงานของผู้ปฏิบัติงานในส่วนปฏิบัติงานพื้นฐานและงานทำรายการต่างๆขององค์กร เช่นใบเสร็จรับเงิน รายการขาย การควบคุมวัสดุของหน่วยงาน เป็นต้น วัตถุประสงค์หลักของระบบนี้ก็เพื่อช่วยการดำเนินงานประจำแต่ละวัน และควบคุมรายการข้อมูลที่เกิดขึ้น

2. ระบบสารสนเทศสำหรับผู้ชำนาญการ (Knowledge-level systems) ระบบนี้สนับสนุนผู้ทำงานที่มีความรู้เกี่ยวข้องกับข้อมูล วัตถุประสงค์หลักของระบบนี้ก็เพื่อช่วยให้มีการนำความรู้ใหม่มาใช้ และช่วยควบคุมการไหลเวียนของงานเอกสารขององค์กร

3. ระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหาร (Management - level systems) เป็นระบบสารสนเทศที่ช่วยในการตรวจสอบ การควบคุม การตัดสินใจ และการบริหารงานของผู้บริหารระดับกลางขององค์กร

4. ระบบสารสนเทศระดับกลยุทธ์ (Strategic-level system) เป็นระบบสารสนเทศที่ช่วยการบริหารระดับสูง ช่วยในการสนับสนุนการวางแผนระยะยาว หลักการของระบบคือต้องจัดความสัมพันธ์ระหว่างสภาพแวดล้อมภายนอกกับความสามารถภายในที่องค์กรมี เช่นในอีก
5 ปีข้างหน้า องค์กรจะผลิตสินค้าใด

1. ระบบประมวลผลรายการ (Transaction Processing Systems - TPS) เป็นระบบที่ทำหน้าที่ในการปฏิบัติงานประจำ ทำการบันทึกจัดเก็บ ประมวลผลรายการที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน โดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์ทำงานแทนการทำงานด้วยมือ ทั้งนี้เพื่อที่จะทำการสรุปข้อมูลเพื่อสร้างเป็นสารสนเทศ ระบบประมวลผลรายการนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นระบบที่เชื่อมโยงกิจการกับลูกค้า ตัวอย่าง เช่น ระบบการจองบัตรโดยสารเครื่องบิน ระบบการฝากถอนเงินอัตโนมัติ เป็นต้น ในระบบต้องสร้างฐานข้อมูลที่จำเป็น ระบบนี้มักจัดทำเพื่อสนองความต้องการของผู้บริหารระดับต้นเป็นส่วนใหญ่เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานประจำได้ ผลลัพธ์ของระบบนี้ มักจะอยู่ในรูปของ รายงานที่มีรายละเอียด รายงานผลเบื้องต้น

2. ระบบสำนักงานอัตโนมัติ (Office Automation Systems- OAS) เป็นระบบที่สนับสนุนงานในสำนักงาน หรืองานธุรการของหน่วยงาน ระบบจะประสานการทำงานของบุคลากรรวมทั้งกับบุคคลภายนอก หรือหน่วยงานอื่น ระบบนี้จะเกี่ยวข้องกับการจัดการเอกสาร โดยการใช้ซอฟท์แวร์ด้านการพิมพ์ การติดต่อผ่านระบบไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้นผลลัพธ์ของระบบนี้ มักอยู่ในรูปของเอกสาร กำหนดการ สิ่งพิมพ์

3. ระบบงานสร้างความรู้ (Knowledge Work Systems - KWS) เป็นระบบที่ช่วยสนับสนุน
บุคลากรที่ทำงานด้านการสร้างความรู้เพื่อพัฒนาการคิดค้น สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ บริการใหม่ ความรู้ใหม่เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในหน่วยงาน หน่วยงานต้องนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาสนับสนุนให้การพัฒนาเกิดขึ้นได้โดยสะดวก สามารถแข่งขันได้ทั้งในด้านเวลา คุณภาพ และราคา ระบบต้องอาศัยแบบจำลองที่สร้างขึ้น ตลอดจนการทดลองการผลิตหรือดำเนินการ ก่อนที่จะนำเข้ามาดำเนินการจริงในธุรกิจ ผลลัพธ์ของระบบนี้ มักอยู่ในรูปของ สิ่งประดิษฐ์ ตัวแบบ รูปแบบ เป็นต้น

4. ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (Management Information Systems- MIS) เป็นระบบสารสนเทศสำหรับผู้ปฏิบัติงานระดับกลาง ใช้ในการวางแผน การบริหารจัดการ และการควบคุม ระบบจะเชื่อมโยงข้อมูลที่มีอยู่ในระบบประมวลผลรายการเข้าด้วยกัน เพื่อประมวลและสร้างสารสนเทศที่เหมาะสมและจำเป็นต่อการบริหารงาน ตัวอย่าง เช่น ระบบบริหารงานบุคลากร ผลลัพธ์ของระบบนี้ มักอยู่ในรูปของรายงานสรุป รายงานของสิ่งผิดปกติ

5. ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision Support Systems – DSS) เป็นระบบที่ช่วยผู้บริหารในการตัดสินใจสำหรับปัญหา หรือที่มีโครงสร้างหรือขั้นตอนในการหาคำตอบที่แน่นอนเพียงบางส่วน ข้อมูลที่ใช้ต้องอาศัยทั้งข้อมูลภายในกิจการและภายนอกกิจการประกอบกัน ระบบยังต้องสามารถเสนอทางเลือกให้ผู้บริหารพิจารณา เพื่อเลือกทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสถานการณ์นั้น หลักการของระบบ สร้างขึ้นจากแนวคิดของการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยการตัดสินใจ โดยให้ผู้ใช้โต้ตอบโดยตรงกับระบบ ทำให้สามารถวิเคราะห์ ปรับเปลี่ยนเงื่อนไขและกระบวนการพิจารณาได้ โดยอาศัยประสบการณ์ และ ความสามารถของผู้บริหารเอง ผู้บริหารอาจกำหนดเงื่อนไขและทำการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขต่างๆ ไปจนกระทั่งพบสถานการณ์ที่เหมาะสมที่สุด แล้วใช้เป็นสารสนเทศที่ช่วยตัดสินใจ รูปแบบของผลลัพธ์ อาจจะอยู่ในรูปของ รายงานเฉพาะกิจ รายงานการวิเคราะห์เพื่อตัดสินใจ การทำนาย หรือ พยากรณ์เหตุการณ์

6. ระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหารระดับสูง (Executive Information System - EIS) เป็นระบบที่สร้างสารสนเทศเชิงกลยุทธ์สำหรับผู้บริหารระดับสูง ซึ่งทำหน้าที่กำหนดแผนระยะยาวและเป้าหมายของกิจการ สารสนเทศสำหรับผู้บริหารระดับสูงนี้จำเป็นต้องอาศัยข้อมูลภายนอกกิจกรรมเป็นอย่างมาก ยิ่งในยุคปัจจุบันที่เป็นยุค Globalization ข้อมูลระดับโลก แนวโน้มระดับสากลเป็นข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการแข่งขันของธุรกิจ ผลลัพธ์ของระบบนี้ มักอยู่ในรูปของการพยากรณ์/การคาดการณ์

ถึงแม้ว่าระบบสารสนเทศจะมีหลายประเภท แต่องค์ประกอบที่จำเป็นของระบบสารสนเทศทุกประเภท ก็คือต้องประกอบด้วยกิจกรรม 3 อย่างตามที่ Laudon & Laudon (2001)ได้กล่าวไว้ คือ ระบบต้องมีการนำเข้าข้อมูล การประมวลผลข้อมูล และการแสดงผลลัพธ์ของข้อมูล

เครือข่ายคอมพิวเตอร์

เครือข่ายคอมพิวเตอร์
การที่ระบบเครือข่ายมีบทบาทและความสำคัญเพิ่มขึ้น เพราะไมโครคอมพิวเตอร์ได้รับการใช้งานอย่างแพร่หลาย จึงเกิดความต้องการที่จะเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เหล่านั้นถึงกับเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของระบบให้สูงขึ้น เพิ่มการใช้งานด้านต่าง ๆ และลดต้นทุนระบบโดยรวมลง มีการแบ่งใช้งานอุปกรณ์และข้อมูลต่าง ๆ ตลอดจนสามารถทำงานร่วมกันได้
สิ่งสำคัญที่ทำให้ระบบข้อมูลมีขีดความสามารถเพิ่มขึ้น คือ การโอนย้ายข้อมูลระหว่างกัน และการเชื่อมต่อหรือการสื่อสาร การโอนย้ายข้อมูลหมายถึงการนำข้อมูลมาแบ่งกันใช้งาน หรือการนำข้อมูลไปใช้ประมวลผลในลักษณะแบ่งกันใช้ทรัพยากร เช่น แบ่งกันใช้ซีพียู แบ่งกันใช้ฮาร์ดดิสก์ แบ่งกันใช้โปรแกรม และแบ่งกันใช้อุปกรณ์อื่น ๆ ที่มีราคาแพงหรือไม่สามารถจัดหาให้ทุกคนได้ การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เป็นเครือข่ายจึงเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานให้กว้างขวางและมากขึ้นจากเดิม
การเชื่อมต่อในความหมายของระบบเครือข่ายท้องถิ่น ไม่ได้จำกัดอยู่ที่การเชื่อมต่อระหว่างเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ แต่ยังรวมไปถึงการเชื่อมต่ออุปกรณ์รอบข้าง เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าทำให้การทำงานเฉพาะมีขอบเขตกว้างขวางยิ่งขึ้น มีการใช้เครื่องบริการแฟ้มข้อมูลเป็นที่เก็บรวบควมแฟ้มข้อมูลต่างๆ มีการทำฐานข้อมูลกลาง มีหน่วยจัดการระบบสือสารหน่วยบริการใช้เครื่องพิมพ์ หน่วยบริการการใช้ซีดี หน่วยบริการปลายทาง และอุปกรณ์ประกอบสำหรับต่อเข้าในระบบเครือข่ายเพื่อจะทำงานเฉพาะเจาะจงอย่างใดอย่างหนึ่ง ในรูป เป็นตัวอย่างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่จัดกลุ่มเชื่อมโยงเป็นระบบ


ตัวอย่างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่จัดกลุ่มอุปกรณ์รอบข้างเชื่อมโยงเป็นระบบ
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ก่อให้เกิดความสามารถในการปฎิบัติการร่วมกัน ซึ่งหมายถึงการให้อุปกรณ์ทุกชิ้นที่ต่ออยู่บนเครือข่ายทำงานร่วมกันได้ทั้งหมดในลักษณะที่ประสานรวมกัน โดยผู้ใช้เห็นเสมือนใช้งานในอุปกรณ์เดียวกัน จึงเป็นวิธีการในการนำเอาอุปกรณ์ต่างชนิดจำนวนมาก มารวมกันเป็นเสมือนระบบเดียวกัน ทั้ง ๆ ที่อุปกรณ์เหล่านั้นอาจจะมาจากต่างยี่ห้อ ต่างบริษัท ก็ได้

การสื่อสารข้อมูล

องค์ประกอบของการสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูลมีองค์ประกอบ 5 อย่าง (ดังรูป) ได้แก่



1. ผู้ส่ง (Sender) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการส่งข่าวสาร (Message) เป็นต้นทางของการสื่อสารข้อมูลมีหน้าที่เตรียมสร้างข้อมูล เช่น ผู้พูด โทรทัศน์ กล้องวิดีโอ เป็นต้น

2. ผู้รับ (Receiver) เป็นปลายทางการสื่อสาร มีหน้าที่รับข้อมูลที่ส่งมาให้ เช่น ผู้ฟัง เครื่องรับโทรทัศน์ เครื่องพิมพ์ เป็นต้น

3. สื่อกลาง (Medium) หรือตัวกลาง เป็นเส้นทางการสื่อสารเพื่อนำข้อมูลจากต้นทางไปยังปลายทาง สื่อส่งข้อมูลอาจเป็นสายคู่บิดเกลียว สายโคแอกเชียล สายใยแก้วนำแสง หรือคลื่นที่ส่งผ่านทางอากาศ เช่น เลเซอร์ คลื่นไมโครเวฟ คลื่นวิทยุภาคพื้นดิน หรือคลื่นวิทยุผ่านดาวเทียม

4. ข้อมูลข่าวสาร (Message) คือสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ที่ส่งผ่านไปในระบบสื่อสาร ซึ่งอาจถูกเรียกว่า สารสนเทศ (Information) โดยแบ่งเป็น 5รูปแบบ ดังนี้

4.1 ข้อความ (Text) ใช้แทนตัวอักขระต่าง ๆ ซึ่งจะแทนด้วยรหัสต่าง ๆ เช่น รหัสแอสกี เป็นต้น

4.2 ตัวเลข (Number) ใช้แทนตัวเลขต่าง ๆ ซึ่งตัวเลขไม่ได้ถูกแทนด้วยรหัสแอสกีแต่จะถูกแปลงเป็นเลขฐานสองโดยตรง

4.3 รูปภาพ (Images) ข้อมูลของรูปภาพจะแทนด้วยจุดสีเรียงกันไปตามขนาดของรูปภาพ

4.4 เสียง (Audio) ข้อมูลเสียงจะแตกต่างจากข้อความ ตัวเลข และรูปภาพเพราะข้อมูลเสียงจะเป็นสัญญาณต่อเนื่องกันไป

4.5 วิดีโอ (Video) ใช้แสดงภาพเคลื่อนไหว ซึ่งเกิดจากการรวมกันของรูปภาพหลาย ๆ รูป

5. โปรโตคอล (Protocol) คือ วิธีการหรือกฎระเบียบที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูลเพื่อให้ผู้รับและผู้ส่งสามารถเข้าใจกันหรือคุยกันรู้เรื่อง โดยทั้งสองฝั่งทั้งผู้รับและผู้ส่งได้ตกลงกันไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว ในคอมพิวเตอร์โปรโตคอลอยู่ในส่วนของซอฟต์แวร์ที่มีหน้าที่ทำให้การดำเนินงาน ในการสื่อสารข้อมูลเป็นไปตามโปรแกรมที่กำหนดไว้ ตัวอย่างเช่น X.25, SDLC, HDLC, และ TCP/IP เป็นต้น

วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2553

วิธีการทำความสะอาดโน๊ตบุ๊ค



วิธีการทำความสะอาดโน้ตบุ๊ค
ก่อนอื่นมาเตรียมอุปกรณ์กันก่อน ... เครื่องมือในการทำความสะอาดประกอบด้วย- กระป๋อง หรือ ถ้วยขนาดเล็ก (ใช้สำหรับผสมน้ำยา)- กระดาษเช็ดหน้า (ขอแนะนำให้ใช้ คลีเน็กซ์ อัลตรา ซอฟท์ ... เท่าที่ลองมา คลีเน็ก รุ่นนี้ดีที่สุด)- แปรงทาสีขนาด 3/4 นิ้ว (เลือกใช้แปรงที่ขนไม่ร่วงนะครับ) ถ้าหาซื้อไม่ได้ใช้แปรงสีฟันเก่าก็ได้ ^^"- ลูกยางเป่าลม (ถ้าหาไม่ได้สามารถใช้ลมกระป๋องแทนได้ .. แต่ต้องฉีดห่างๆ เพื่อลดแรงลม)- ผ้า Duster Cloth ของ 3M (ใช้สำหรับกรณีที่มีฝุ่นจับมากเป็นพิเศษ) หาซื้อได้ตาม โลตัส บิ๊กซี - ผ้าไมโครไฟเบอร์ ของ 3M (อันนี้จำเป็นมาก หาซื้อได้ทั่วไปตามโลตัส บิ๊กซี ราคาไม่เกิน 100 บาท)- น้ำยาเช็ดคอม Touche Klean (มีขายทั่วไปตามร้านคอมฯ)
ขั้นตอนในการทำความสะอาด
ขั้นตอนที่ 1 : ปัดฝุ่นกรณีที่โน้ตบุ๊คมีฝุ่นจับมากเป็นพิเศษ(พาโน้ตบุ๊คไปลุยแรลลี่ดั๊กก้ามา ^^") ให้ใช้ผ้า Duster Cloth ของ 3Mเช็ดให้ทั่วตัวโน้ตบุ๊ค ส่วนฝุ่นที่ติดอยู่ที่จอให้ใช้ผ้า Duster Cloth ปัดออก ปัดนะ อย่าเช็ด!โน้ตบุ๊คที่มีฝุ่นจับไม่มาก ให้ใช้ลูกยางเป่าลม เป่าฝุ่นตามคีย์บอร์ด จอ และซอกหลืบต่างๆ ทีนี้จะมีฝุ่นบางกลุ่มหน้าด้านเกาะไม่ยอมหลุด ให้ใช้แปรงทาสีปัด แคะ เขี่ย ฝุ่นที่ติดตามซอกหลืบและร่องต่างๆแล้วเป่าลมซ้ำอีกครั้งด้วยลูกยางเป่าลม .. เท่านี้ฝุ่นก็กระจุยออกไปหมดแล้ว ^^" (รูปขวาสุด ไม่เห็นฝุ่นในร่องไอคอนสถานะอีกแล้ว นี่ถ้าไม่ได้ใช้แปรงปัด ฝุ่นไม่หลุดแน่นอน)จอ LCD ที่มีคราบนิ้วมือ คราบมันต่างๆ ให้ใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์เช็ดคราบออก(เช็ดเบาๆ อย่าออกแรงกด)ถ้าเช็ดไม่ออกจริงๆ ให้ใช้กระดาษเช็ดหน้าชุบน้ำ(บิดให้หมาดที่สุด)ถูกบริเวณคราบเบาๆ และเช็ดคราบน้ำออกด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์อีกครั้ง (ห้ามใช้น้ำยาเด็ดขาด .. จอด่างขึ้นมาไม่รู้ด้วยนะ)
ขั้นตอนที่ 2 : เช็ดคราบสกปรกใช้กระดาษเช็ดหน้าชุบน้ำ(บิดหมาดๆ) เช็ดให้ทั่วตัวโน้ตบุ๊ค เช่น บริเวณแป้นวางมือ(บริเวณที่สกปรกที่สุด)คีย์บอร์ด ขอบจอ หลังจอ ระหว่างเช็ดสังเกตด้วยนะ ถ้ากระดาษเช็ดหน้าเริ่มยุ่ยให้เปลี่ยนกระดาษเพราะไม่อย่างนั้นเศษกระดาษอาจหลุดลงไปในร่องคีย์บอร์ด ซวยเลย = _ ="ขอย้ำอีกครั้ง ว่าใช้ให้ กระดาษเช็ดหน้าคลีเน็กซ์ อัลตรา ซอฟท์ ... รุ่นนี้ เหนียว นุ่ม ไม่ยุ่ยง่ายๆยี่ห้ออื่นหยาบเกินไปอาจทำให้โน้ตบุ๊คเป็นรอยขนแมวได้ .. เด๋วโน้ตบุ๊คจะหมดสวยกันพอดี
ขั้นตอนที่ 3 : เช็ดคราบสกปรกที่ขั้นตอนที่แล้วเช็ดไม่ออกจากขั้นตอนที่แล้ว กระดาษเช็ดหน้าจะขจัดคราบสกปรกออกได้ในระดับหนึ่งเท่านั้นยังมีคราบสกปรกที่มองไม่เห็นติดอยู่พอสมควร .. ต้องใช้ตัวช่วย!!นี่ .. ตัวช่วย! น้ำยาเช็ดคอม Touche Klean (หาซื้อได้ทั่วไปเช่นกัน)วิธีใช้น้ำยานี้ก็ง่ายๆ .. แต่ แต่ แต่ ห้ามใช้น้ำยา Touche Klean กับโน้ตบุ๊คโดยตรง เพราะจะทำให้โน้ตบุ๊คมีคราบเหลืองหรือเปลี่ยนสีได้ของอย่างนี้มีองค์ และมีขั้นตอน ...ยังไงมาดูกันกระป๋อง หรือ ถ้วยขนาดเล็ก ที่ให้เตรียมไว้ตั้งแต่ตอนแรกก็เพื่อการนี้แหละ .. งานนี้ใช้ก้นกระป๋องเป็นที่ผสมน้ำยาครับ อิๆ ไฮโซซะไม่มี ก่อนอื่นเทน้ำยาลงประมาณ 7 - 8 หยด เติมน้ำเปล่าลงไป 1/4 ของฝาเหล้า คนให้เข้ากันงงมั๊ย?? เอาเป็นว่าผสมน้ำยา Touche Klean กับน้ำเปล่าในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 เป็นอย่างน้อยแต่ปกติแล้วผมจะผสมที่อัตราส่วน 1 : 2 หรือไม่ก็ 1 : 3 (ขึ้นอยู่กับความโสโครก ถ้าโสฯมาก 1:1 โลด)หลังจากผสม กวนๆ น้ำยากับน้ำเข้ากันแล้ว ไปดูขั้นตอนต่อไปกัน
ขั้นตอนที่ 4 : สกปรกอย่าอยู่เลยกระดาษเช็ดหน้าชุบน้ำยาที่ผสมแล้วบิดหมาดๆ เช็ดให้ทั่วบอดี้โน้ตบุ๊ค(จอไม่ต้องเช็ด)บนแป้นวางมือ หลังจอ ขอบจอ เช็ดให้หมด ... ถูๆ ด้วย คราบสกปรกจะได้หลุดออกมาเร็วขึ้นสำหรับคีย์บอร์ดให้ม้วนกระดาษเช็ดหน้าให้เล็กลง ค่อยๆ เช็ดไปทีละปุ่ม หรือจะใช้คัตตอนบัดเช็ดก็ได้ถ้ากระดาษเช็ดหน้าเริ่มยุ่ยให้เปลี่ยนกระดาษ เพราะไม่อย่างนั้นเศษกระดาษอาจหลุดลงไปในร่องคีย์บอร์ดได้ ซวยเลย เตือนเป็นครั้งที่ 2 แล้วนะพลิกกระดาษเช็ดหน้าขึ้นดู ... กระดาษดำป่ะ? ยังไม่เสร็จนะ ... มีอีกขั้นตอนนึง
ขั้นตอนที่ 5 : ซ้ำชั้นตอนที่ 2ใช้กระดาษเช็ดหน้าชุบน้ำ(บิดหมาดๆ)เช็ดให้ทั่วตัวโน้ตบุ๊ค ที่ต้องเช็ดด้วยน้ำเปล่าอีกครั้งก็เพื่อล้างคราบน้ำยาที่ติดอยู่ที่ตัวโน้ตบุ๊คออกนั่นแหละ ... เช็ดซ้ำทุกส่วนที่เช็ดน้ำยาลงไปเสร็จแล้วก็ใช้กระดาษเช็ดหน้าแห้งๆ เช็ดคราบน้ำออก ...เป็นอันเสร็จพิธี ... เสร็จสิ้นวิธีทำความสะอาดโน้ตบุ๊ค รับรองสะอาดน่าใช้ขึ้นเป็นกองอ้อ ด้านล่างของโน้ตบุ๊ค ใช้แค่กระดาษเช็ดหน้าชุบน้ำเช็ดออกก็เพียงพอแล้วแต่ถ้าจะใช้น้ำยาด้วยก็ไม่ว่ากัน .. แต่บิดกระดาษให้หมาดที่สุดนะ ด้านล่างช่องมันเยอะถ้าโน้ตบุ๊คไม่มีวอยด์ เปิดฝาออกมาเป่าฝุ่นหน่อยก็ดี

เคล็ดลับการลดน้ำหนัก



เคล็ดลับ ลดความอ้วน ด้วยวิธีง่ายๆ
หากคุณเคยลดความอ้วนมาหลายครั้งแล้วไม่ได้ผล ขอเสนอเคล็ดลับการลดความอ้วนอย่างง่ายและถูกวิธี ดังนี้
ข้อที่ 1 ต้องมีจิตใจเข้มแข็ง และมีความตั้งใจจริงที่จะลดน้ำหนักซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากสัญญากับตนเองว่า จะปฏิบัติตามแนวทางที่วางไว้ เพื่อลดน้ำหนักตนเองลงให้ได้ โดยหลีกเลี่ยงข้อแก้ตัวต่าง ๆ ที่จะเป็นปัญหาในการลดน้ำหนัก เช่น ถ้าได้รับเชิญไปกินเลี้ยงต้องวางแผนไว้ก่อนว่าในมื้ออื่น ๆ จะต้องกินอาหารอย่างไรเพื่อควบคุมการกินอาหาร
ข้อที่ 2 แต่ละวันให้กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ และครบ 3 มื้อ การงดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่งเพื่อลดความอ้วนเป็นวิธีที่ไม่สมควร เพราะเป็นการบั่นทอนสุขภาพ
ข้อที่ 3 ลดอาหารประเภท ข้าว แป้ง น้ำตาล และไขมันลง แต่กินอาหารพวกพืชผัก ผลไม้ให้มากขึ้น
ข้อที่ 4 มีการออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอกจากควบคุมการกินอาหารแล้ว ถ้าได้มีโอกาสออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย จะทำให้ผลการลดน้ำหนักดียิ่งขึ้น เพราะจะเป็นการใช้พลังงานที่ร่างกายได้รับจากอาหารไม่มีการสะสมไขมัน
สำหรับผู้ที่ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อนต้องค่อยทำค่อยไป และทำอย่างสม่ำเสมอดีกว่าหักโหม ควรเลือกใช้วิธีที่ชอบ จะทำได้จนเป็นนิสัยโดยไม่ต้องฝืนใจ เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ๆ กระโดดเชือก ขี่จักรยาน เต้นรำ โดยต้องคำนึงถึงสภาพของร่างกาย เพราะถ้าออกกำลังกายหนักไป อาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกายได้ เช่น กินข้าว 1 ทัพพี เดิน 20 นาทีจะใช้พลังงานที่ได้จากข้าวหมด แต่ถ้าตีเทนนิส เพียง 10 นาทีก็ใช้หมดแล้ว หรือถ้าวิ่งเพียง 4.5 นาทีก็ใช้พลังงานหมดแล้ว
สิ่งสำคัญ คือ ลดการกินอาหารที่ให้พลังงานสูง เช่น ไขมัน น้ำตาล และแป้งลง ถ้าลดพลังงานได้วันละ500-550แคลลอรี่จะลดน้ำหนักได้สัปดาห์ละครึ่งกิโลกรัม ซึ่งถือว่าพอเหมาะ
“อ้วน” กำลังจะกลายเป็นคำหยาบที่ไม่มีใครอยากได้ยิน ใครๆ ต่างพากันหาวิธีรักษาสุขภาพให้ไม่อ้วน หรือตกอยู่ในภาวะน้ำหนักเกิน กันยกใหญ่
สูตรลดความอ้วนหลายหลากถูกนำเสนอกันขึ้นมา ล่าสุดจากการวิเคราะห์ผลการสำรวจภาวะโภชนาการแห่งชาติ โดยสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่าร้อยละ 63.4 ของพลังงานที่คนไทยบริโภคในแต่ละวันนั้น มาจากข้าวและผลิตภัณฑ์จากธัญพืช บวกกับพลังงานร้อยละ 2.1 ได้มาจากน้ำตาลทราย แล้วยังมีพลังงานส่วนน้อยที่มาจากคาร์โบไฮเดรตในเครื่องดื่ม (1.4%) และผลไม้ (1.1 %)
แสดงว่าพลังงานคาร์โบไฮเดรตที่คนไทยบริโภคแต่ละวันคิดเป็นร้อยละ 60 กว่านั้นทำให้คนวัยทำงานเกิดภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน ดังนั้นจึงควรจะลดสารอาหารคาร์โบไฮเดรตในแต่ละวันลง
รศ.ดร.ปรียา ลีฬหกุล อาจารย์นักโภชนาการจากสำนักงาน วิจัย คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี แนะนำว่าคนไทยสามารถหลีกหนีโรคอ้วนโดยยังอร่อยได้อร่อยดีอยู่ ไม่ขัดกับชีวิตประจำวันและยังมีความสุขกับการกินได้ โดยให้คำนึงถึงหลักว่า
“น้ำหนักคนเราอยู่ในเกณฑ์ปกติได้ เมื่อพลังงานที่ได้รับจากอาหารสมดุลกับพลังงานที่ใช้ในแต่ละวัน” รศ.ปรียา กล่าว พร้อมทั้งอธิบายว่า การที่พลังงานสมดุลไม่เหลือสะสมในรูปไขมัน ก็ไม่ต้องกังวลกับตัวเลขว่าต้องกินวันละกี่กิโลแคลอรี ขอเพียงชั่งน้ำหนักทุกวัน ถ้าอยู่ในเกณฑ์ปกติ แสดงว่าได้พลังงานพอไม่มากหรือน้อยไป
ดังนั้น การกินน้ำตาลบ้าง ร่วมกับอาหารไขมันต่ำ จะทำให้อาหารนั้นยังอร่อยอยู่ และง่ายต่อการปฏิบัติตาม นอกจากนี้ จากงานวิจัยที่ได้ศึกษาพบว่าการกินอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล จะให้ความรู้สึกอิ่มและลดความอยากอาหารได้ดี ในขณะที่การกินอาหารพลังงานสูงๆ โดยเฉพาะจากไขมัน รวมทั้งการใช้ชีวิตที่ไม่ค่อยเคลื่อนไหวมาก จะเป็นสองปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดภาวะน้ำหนักเกิน และโรคอ้วนจัดว่าเป็นอีกเคล็ดลับหนึ่งในการลดน้ำหนัก แบบไม่ทำร้ายจิตใจ

สะพานข้ามเเม่น้ำเเคว



สะพานข้ามแม่น้ำแคว
เป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่งแห่งหนึ่ง สร้างขึ้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยกองทัพญี่ปุ่นได้เกณฑ์เชลยศึก พันธมิตร ได้แก่ ทหารอังกฤษ อเมริกัน ออสเตรเลีย และฮอลันดา จำนวนมากมาสร้างทางรถไฟสายยุทธศาสตร์ผ่าน ประเทศพม่า ซึ่งมีส่วนหนึ่งจะต้องข้ามแม่น้ำแควใหญ่ การสร้างสะพานและทางรถไฟสายนี้เป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะความทารุณของสงครามและโรคภัยตลอดจนขาดอาหาร ทำให้เชลยศึกจำนวนหลายหมื่นคนต้องเสียชีวิตลง สะพานข้ามแม่น้ำแควตั้งอยู่ที่ตำบลท่ามะขาม ห่างจากตัวเมืองไปทิศเหนือตามทางหลวงหมายเลข 323 ประมาณ 4 กม. แยกซ้ายประมาณ 400 เมตร มีป้ายเขียนบอกไว้ชัดเจน



--------------------------------------------------

ศิลปะทวารวดี


พระพุทธศาสนาเข้ามาสู่ดินแดนที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบัน เมื่อประมาณ พ.ศ. 236 สมัยเดียวกันกับประเทศศรีลังกา ด้วยการส่งพระสมณทูตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศต่างๆ 9 สาย โดยการอุปถัมภ์ของพระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์อินเดีย ในขณะนั้นประเทศไทยรวมอยู่ในดินแดนที่เรียกว่าสุวรรณภูมิ ซึ่งมีขอบเขตกว้างขวาง มีประเทศรวมกันอยู่ในดินแดนส่วนนี้ทั้ง 7 ประเทศในปัจจุบัน ได้แก่ ไทย พม่า ศรีลังกา ญวน กัมพูชา ลาว มาเลเซีย ซึ่งสันนิษฐานว่ามีใจกลางอยู่ที่จังหวัดนครปฐมของไทย เนื่องจากได้พบโบราณวัตถุที่สำคัญ เช่นพระปฐมเจดีย์ และรูปธรรมจักรกวางหมอบเป็นหลักฐานสำคัญ แต่พม่าก็สันนิษฐานว่ามีในกลางอยู่ที่เมืองสะเทิม ภาคใต้ของพม่า พระพุทธศาสนาเข้ามาสู่สุวรรณภูมิในยุคนี้ นำโดยพระโสณะและพระอุตตระ พระเถระชาวอินเดีย เดินทางมาเผยแผ่พุทธศาสนาในแถบนี้ จนเจริญรุ่งเรืองมาตามลำดับ ตามยุคสมัยต่อไปนี้

พระโสณะและพระอุตตระได้เดินทางจากแคว้นมคธ เข้ามาประดิษฐานพระพุทธศาสนา ณ ดินแดนสุวรรณภูมิ โดยมีข้อสันนิษฐานว่า น่าจะมีศูนย์กลางอยู่บริเวณตอนกลางของไทยในปัจจุบัน โดยพิจารณาจากโบราณสถานและโบราณวัตถุต่าง ๆ เช่น พระปฐมเจดีย์ศิลารูปพระธรรมจักร เป็นต้น
พระพุทธศาสนาที่เข้ามาในสมัยนี้ เป็นนิกายเถรวาทดั้งเดิม โดยพุทธศาสนิกชนมีความศรัทธาเลื่อมใสบวชเป็นพระภิกษุจำนวนมาก และได้สร้างสถูปเจดีย์ไว้สักการะบูชา เรียกว่า สถูปรูปฟองน้ำ เหมือนสถูปสาญจีในประเทศอินเดียที่พระเจ้าอโศกมหาราชทรงสร้างขึ้น โดยศิลปะในยุคนี้ เรียกว่า ศิลปะทวารวดี เป็นต้น

...ใครกันที่คุณเรียกว่าเพื่อน...



..ใครกันที่คุณเรียกว่าเพื่อน..
ชีวิตเราๆ ต้องเจอะเจอผู้คนมากมายทั้งที่ด้วยความจำใจ จำยอม จำเป็น บังเอิญ และด้วยความพอใจแต่ถึงยังไง เราก็เลือกที่จะเสวนาหรือไม่เสวนากับใครก็ได้ มันเป็นสิทธิส่วนบุคคลถ้าอย่างนั้นลองวาดภาพตาม..................คุณเป็นเด็กนักเรียนใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้ามา ณ โรงเรียนแห่งนี้คุณไม่รู้จักใคร คุณไม่รู้จักอะไรเลยแต่ด้วยระบบของโรงเรียน ทำให้คุณเข้าไปเรียนอยู่ในห้องเรียนห้องหนึ่ง มีนักเรียนในห้องอยู่เกือบครึ่งร้อยชีวิต และแล้วอาจารย์ที่ปรึกษาก็แนะนำคุณให้กับนักเรียนในห้องนั้นและบอกว่า............ -ดูแลเพื่อนด้วย-มันอาจไม่ใช่ประโยคที่แปลกอะไร แต่..ใครเป็นเพื่อนของคุณ?และคุณเป็นเพื่อนของใคร?มันจะไม่แปลกใช่ไหม ถ้าคุณอาจจะถูกทอดทิ้งให้ฝึกพูดบทสนทนาภาษาอังกฤษเพียงลำพังในคาบวิชาภาษาอังกฤษ ขณะที่นักเรียนคนอื่นๆในห้องจับกันเป็นคู่ๆ ก็ยังไม่มีใครบอกว่าเป็นเพื่อนคุณสักหน่อย แล้วมันเป็นหน้าที่ของใครล่ะ ที่จะต้องมาดูแลคุณ แต่คุณก็ไม่ละความพยายามหรอก ในเมื่อคุณเป็นนักเรียนใหม่คุณก็เลยเดินเข้าไปหาคู่สนทนาเองเลยคุณแนะนำชื่อคุณ บอกว่าย้ายมาจากโรงเรียนอะไร ทำไมถึงย้ายมาในช่วงนี้เล่าประวัติส่วนตัวคร่าวๆที่คุณคิดว่าคนที่จะเป็นเพื่อนคุณควรจะรู้คนๆนั้นก็บอกชื่อของเขากับคุณ และยิ้มให้ชวนคุยเป็นมารยาท และอาจเดินจากคุณไป ถ้าคุณคิดว่าคุณได้เพื่อนหนึ่งคน *เพื่อน* คำนั้นของคุณแปลว่า *คนรู้จัก*บางทีคำว่า *คนรู้จัก* เนี่ย ก็แปลได้หลายความหมายเหมือนกัน..อาจแปลว่าเขาและคุณรู้จักกัน หรือเขารู้จักคุณ หรือไม่ก็ คุณรู้จักเขาอยู่ฝ่ายเดียว มันเป็นสิ่งที่ธรรมดาหรือแปลกประหลาดก็ไม่อาจบอกได้ ทุกวันนี้แค่เพียงคุณแนะนำตัวเองต่อกันและกันคุณก็สามารถเป็นเพื่อนกันได้ภายในเวลาไม่เกิน 30 วินาที!...โดยทั้งสองฝ่ายต่างก็เออออห่อหมกว่าโอเค เรารู้ชื่อของกันและกัน และเราก็ยิ้มให้กัน ดังนั้นเราเป็นเพื่อนกัน..สมการการถ่ายทอดของคนรุ่นใหม่ คำว่า *เพื่อน* คำนี้คงน่าสมเพชมากกว่าคำว่า *คนรู้จัก* ซะอีก..อย่างดีคุณก็แค่จับคู่ของชื่อกับหน้าเจ้าของได้ถูก..อย่างแย่ คุณก็จำไม่ได้เลยว่าเคยพบเจอคนๆนั้นมาก่อนถ้าเพียงแค่ลองลงท้ายคำแนะนำตัวว่า..+ให้เราเป็นเพื่อนด้วยคนนึงนะ+ คุณคิดว่าไง? ..เคยมีคนพูดประโยคนี้กับคุณไหม? ...ประโยคที่ยกย่องคุณขอให้ตัวเองได้เป็นส่วนนึงในชีวิตของคุณได้ทำอะไรร่วมกับคุณ ได้ร่วมทุกข์ ร่วมสุขกับคุณถ้าไม่มีก็คงไม่แปลก (ตามสมการการถ่ายทอดของคนรุ่นใหม่)แต่ถ้ามี หรือกำลังจะมีล่ะ? คุณคิดว่าประโยคคำพูดสั้นๆ ธรรมดาๆ ที่เด็กอนุบาลพูดกัน จะทำให้คุณรู้สึกยังไง?มันไม่ใช่คำพูดที่ว่า -เป็นเพื่อนเราหน่อยนะ-..คำพูดที่เอาตัวเองเป็นหลักแล้วก็ถูลู่ถูกังเอาคนอื่นมายินยอมด้วยสองประโยคนี้คำตอบอาจไม่ต่างกัน..คงไม่มีคนตอบว่า ไม่ได้หรอกเราไม่อยากเป็นเพื่อนเธอ อะไรประมาณนั้นตามมารยาทแต่ความรู้สึกจากคำพูดมันต่างกันจริงไหมทุกวันนี้คุณอาจบอกว่า คุณได้เพื่อนมามากพอแล้วและเพื่อนคุณก็เป็นเพื่อนสนิท เป็นเพื่อนที่ดี เป็นเพื่อนที่จริงใจสารพัดคุณสมบัติที่ทำให้คุณทำทุกอย่างเพื่อเพื่อน(หลาย)คนนี้ได้..แต่ยังมีคนที่ไม่มีเพื่อนสนิทแบบคุณ คนที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมและพร้อมที่จะเป็นเพื่อนแท้กับคนที่เขาถูกชะตาด้วย เพียงแค่เขายังไม่เจอกับคนที่เขาถูกชะตา ซึ่งคนๆนั้นอาจเป็นคุณ ถ้าเพียงคุณเปิดใจรับเเพื่อนอีก ..อย่างน้อยคุณก็ได้เพื่อนอีกคน และเขาก็ได้เพื่อนอีกคน..และอย่างมากที่สุด คุณก็ได้เพื่อนแท้มาอีกคน จริงๆแล้วหัวข้อบทความนี้น่าจะเป็น *ใครเรียกคุณว่าเพื่อน?*ถ้าดูจากเรื่องที่เล่ามา แต่จุดประสงค์หลักของการเขียนบทความนี้ขึ้นมาก็คือการย้อนมองความหมายที่แท้จริงของคำว่า *เพื่อน*ความหมายของคำว่า *เพื่อน* มีหลายระดับ..ตามความพอใจ ตามอารมณ์ ตามความสนิทตามหน้าที่ ตามความจำเป็น ตามความจริงใจโดยวัดจากใจของคุณเอง ..สารพัดเหตุผล คล้ายๆที่เถียงกันไม่ตกว่า ความรักก็มีหลายแบบ แต่ถ้าสองคำนี้มารวมกันเป็นคำว่า *รักเพื่อน* หรือ*เพื่อนรัก*ผู้เขียนว่ามัน.. ไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆสักคำให้ลึกซึ้ง+ดูแลเพื่อนด้วย+คงเป็นอีกประโยคหนึ่ง ที่จะสามารถเรียกความซึ้งใจออกมาได้จริ

การใช้คอมพิวเตอร์เบื้องต้น



การใช้คอมพิวเตอร์เบื้องต้น
(Microsoft Windows)
เนื้อหาจะเป็นการแนะนำ การใช้คอมพิวเตอร์เบื้องต้น ต่าง ๆ ที่จำเป็น ตั้งแต่การเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ การจับเม้าส์ การกดปุ่มบนเม้าส์ ตลอดจนการเปิดโปรแกรมต่าง ๆ ขึ้นมา การปิดโปรแกรมต่าง ๆ เมื่อไม่ใช้งาน การแก้ไขเครื่องในกรณีเครื่องเกิดอาการ Hang การปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ถูกต้อง
การเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์
1. ตรวจสอบปลั๊กเสียก่อนว่า เสียบเรียบร้อยดีหรือไม่
2. ที่จอภาพ กดสวิทซ์ เพื่อเปิดจอภาพ
3. ที่ CPU. ด้านหน้า จะมีสวิทซ์ เพื่อเปิดเครื่อง (กดเบา ๆ )
4. เมื่อเปิดเครื่องแล้ว รอสักครู่ ที่จอภาพจะมีข้อความเพื่อตรวจสอบระบบต่าง ๆ
5. จากนั้น จะมีเสียง 1 ครั้ง
6. ที่หน้าจอภาพจะขึ้นคำว่า Windows เป็นการเริ่มต้นการใช้เครื่อง เพราะเครื่องจะต้องเรียกโปรแกรมควบคุมเครื่องที่ชื่อว่า Windows เสียก่อน (จะใช้เวลาประมาณ 3 นาที)
7. จากนั้นหน้าจอภาพจะมีโปรแกรมต่าง ๆ อยู่ด้านซ้าย และด้านล่างจะมีแถบ Task Bar ให้เราทำงานได้
การเลิกใช้เครื่องคอมพิวเตอร์
1. คลิ๊กที่ปุ่ม Start
2. เลื่อนมาคลิ๊กที่คำสั่ง Shut Down
3. คลิ๊กปุ่ม Ok
4. รอสักครู่เครื่องจะเริ่มทำการปิดระบบต่าง ๆ ของคอมพิวเตอร์
5. จากนั้นเครื่องจะดับเอง
6. ยกเว้น จอภาพ ให้กดสวิทซ์ ปิดจอด้วย
ส่วนประกอบของหน้าจอภาพเมื่อเข้าสู่วินโดวส์เรียบร้อยแล้ว
1. ส่วนที่เป็นภาพฉากหลัง เราเรียกว่า ส่วนพื้นจอภาพ (Desk Top)
2. ด้านซ้ายของจอภาพ ส่วนที่เป็นรูปภาพ และมีคำบอกว่าเป็นโปรแกรมอะไร เรียกว่า (Icon) ลักษณะจะเป็นโปรแกรมต่าง ๆ ที่วินโดวส์ จะนำมาไว้ที่จอภาพ ส่วนใหญ่จะเป็นโปรแกรมที่ถูกเรียกใช้บ่อย ๆ
3. ด้านล่างของจอภาพที่เป็นแถบสีเทา เราเรียกว่า (Task Bar) เป็นส่วนบอกสถานะต่าง ๆ โดยที่ด้านขวาของ ทาสบาร์ จะบอกเวลาปัจจุบัน สถานะของแป้นพิมพ์ว่า ภาษาไทย หรือ อังกฤษ โปรแกรมที่ถูกฝังตัวอยู่ ส่วนแถบตรงกลางจะใช้บอกว่า ขณะนี้เราเปิดโปรแกรมอะไรใช้งานอยู่บ้าง ด้านซ้ายของจอภาพ จะมีปุ่ม Start ใช้ในการเริ่มเข้าสู่โปรแกรมต่าง ๆ
การกดปุ่มบนเม้าส์ (Mouse) เม้าส์ในปัจจุบันจะมี 2 ปุ่ม ซ้าย และขวา ส่วนถ้าเป็นแบบล่าสุด จะมีปุ่มคล้าย ๆ ล้ออยู่ตรงกลางเพื่อใช้ในการเลื่อน ขึ้น และ ลง บนหน้าจอภาพ (Scroll Bar) ในการกดปุ่มบนเม้าส์นั้น จะมีวิธีกดปุ่มบนเม้าส์อยู่ทั้งหมด 4 วิธีคือ
1. คลิ๊ก (Click) คือการใช้นิ้วชี้กดปุ่ม ซ้าย ของเม้าส์ 1 ครั้ง ใช้ในการเลือกสิ่งต่าง ๆ บนจอภาพ
2. ดับเบิ้ลคลิ๊ก (Double Click) คือการใช้นิ้วชี้กดปุ่ม ซ้าย ของเม้าส์ 2 ครั้ง ติดกันอย่างเร็ว ใช้ในการเปิดโปรแกรมที่อยู่ด้านซ้ายของจอภาพ
3. แดร๊ก (Drag) คือการกดปุ่ม ซ้าย ของเม้าส์ ค้างไว้ แล้วลากเม้าส์ ใช้ในการย้ายสิ่งต่าง ๆ
4. คลิ๊กขวา (Right – Click) คือการใช้นิ้วกลาง กดปุ่ม ขวา ของเม้าส์ 1 ครั้ง ใช้ในการเข้าเมนูลัดของโปรแกรม (Context Menu)
การเปิดโปรแกรมขึ้นมาใช้งาน เช่น ต้องการเปิดโปรแกรมเครื่องคิดเลข (Calculator)
1. คลิ๊กที่ปุ่ม Start ตรงแถบทาสบาร์ด้านล่างซ้ายมือ
2. เลื่อนเม้าส์เพื่อให้ลูกศรที่จอภาพ ชี้ที่คำว่า Program ตรงนี้ชี้ไว้เฉย ๆ ครับ ไม่ต้องคลิ๊กเม้าส์
3. เลื่อนเม้าส์ไปทางขวา ในแนวนอนก่อน แล้วเลื่อนขึ้นไปที่คำว่า Accessories ไม่ต้องคลิ๊กเม้าส์
4. เลื่อนเม้าส์ไปทางขวา ในแนวนอนอีก แล้วเลื่อนลงมาที่คำว่า Calculator
5. จากนั้นจับเม้าส์ให้ นิ่ง ๆ คลิ๊กเม้าส์ 1 ที (คือการกดปุ่ม ซ้าย ของเม้าส์ 1 ครั้ง)
6. กรอบต่าง ๆ จะหายไป แล้วเครื่องจะเปิดหน้าต่าง เครื่องคิดเลขขึ้นมา ถือว่าเสร็จขึ้นตอนการเปิดโปรแกรมเครื่องคิดเลข ขึ้นมาใช้งาน ครับ
การปิดโปรแกรม เครื่องคิดเลข
1. ที่หน้าต่างเครื่องคิดเลข (Calculator) ตรงด้านบน ขวา มือจะมีปุ่มอยู่ 3 ปุ่ม
2. ให้เลื่อนเม้าส์ ไปที่ปุ่มที่ 3 ทางขวามือ (ปุ่มจะเป็นรูป กากบาท X ) เมื่อเลื่อนเม้าส์ไปวางจะมีคำว่า Close
3. คลิ๊ก 1 ครั้ง เครื่องก็จะปิดหน้าต่างโปรแกรมเครื่องคิดเลขไป
การขยายหน้าต่างของโปรแกรมให้เต็มจอภาพ (Maximize)
1. ที่หน้าต่าง ด้านบน ขวามือ ให้คลิ๊ก ปุ่มที่สอง เครื่องจะมีข้อความขึ้นมาว่า Maximize (แต่ถ้าหน้าต่าง ถูกขยายขึ้นมาอยู่แล้ว คำจะเปลี่ยนเป็น Restore ถ้าคลิ๊กลงไปจะกลายเป็นหน้าต่าง ขนาดปกติครับ)
2. จากนั้นเครื่องจะขยายหน้าต่างให้เต็มจอ ส่วนใหญ่เราจะขยายหน้าต่างให้เต็มจอเพื่อให้เห็นรายละเอียดในหน้าต่างมากขึ้นครับ
การลดขนาดหน้าต่างเป็น Icon ลงใน ทาสบาร์ หรือ การซ่อนหน้าต่าง (Minimize)
1. ที่หน้าต่าง ด้านบน ขวามือ ให้คลิ๊กปุ่มที่เป็นขีด ลบ ถ้าเลื่อนเม้าส์ไปวางจะขึ้นคำว่า Minimize
2. คลิ๊กลงไป 1 ครั้ง เครื่องก็จะซ่อนหน้าต่าง ลงไปไว้ด้านล่างตรงทาสบาร์
3. ที่ทาสบาร์จะมีคำเป็นลักษณะปุ่มเขียนว่า ซ่อนโปรแกรมอะไรไว้
4. แต่ ถ้าอยากเรียกขึ้นมาใช้งานตามเดิม ให้คลิ๊กที่ปุ่มด้านล่างที่ทาสบาร์ที่เราซ่อนเอาไว้ เครื่องก็จะเปิดหน้าต่างโปรแกรมที่เราซ่อนเอาไว้ ขึ้นมาใช้งานได้ตามเดิม
การปิดโปรแกรมที่ทำให้เครื่องเกิดอาการแฮงค์ (Hang) อาการแฮงค์ คืออาการที่เราอาจจะเปิดโปรแกรมขึ้นมาหลายโปรแกรม แล้วทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานไม่ทัน หรือเราอาจจะคลิ๊กเม้าส์หลายครั้ง ในขณะที่เครื่องกำลังประมวลผลอยู่ จนเครื่องทำงานไม่ทัน เลยเกิดอาการแฮงค์ ซึ่งอาการแฮงค์นี้จะทำให้เราไม่สามารถคลิ๊กอะไรที่จอภาพได้เลย วิธีการแก้ไขเบื้องต้นคือ
1. ที่แป้นพิมพ์ ให้เรากดปุ่ม Ctrl + Alt ค้างไว้ แล้วอีกมือหนึ่ง กดปุ่ม Delete แล้วปล่อย
2. เครื่องจะขึ้นหน้าต่าง Task Manager ขึ้นมา
3. จากนั้น เราคลิ๊กที่โปรแกรมที่เราคิดว่าทำให้เครื่องแฮงค์
4. ด้านล่าง คลิ๊กที่ปุ่ม End Task เครื่องจะปิดโปรแกรมนั้นทิ้งไป
5. ถ้าไม่มีการปิดโปรแกรมอื่นอีก ก็ให้เลือกปุ่ม Cancel ออกมา

โทษของยาเสพติด



ความหมายของยาเสพติด ยาเสพติดให้โทษ หรือสิ่งเสพติดหมายถึง ยาหรือสารเคมีหรือวัตถุชนิดใดๆ เมื่อเสพเข้าสู่ร่างกายแล้วไม่ว่าจะโดยรับประทาน ดม สูบ ฉีด หรือวิธีใดก้ตาม ทำให้เกิดผลต่อร่างกายและจิตใจ ดังนี้1. ต้องการยาเสพติดตลอดเวลา แสดงออกทางร่างกายและจิตใจ2. ต้องเพิ่มขนาดของยาเสพติดมากขึ้น3. มีอาการหยากหรือหิวยาเมื่อขาดยา (บางท่านจะมีอาการถอนยาเมื่อขาดยา)4. สุขภาพทั่วไปทรุดโทรมถ้าพบเห็นบุคคลที่มีพฤติกรรม 4 ประการ ให้พึงสังเกตว่าอาจจะเป็นคนที่ใช้ยาเสติด
ประเภทของยาเสพติดปัจจุบันสิ่งเสพติดหรือยาเสพติดให้โทษมีหลายประเภท อาจจำแนกได้หลายเกณฑ์ นอกจากแบ่งตามแหล่งที่มาแล้ว ยังแบ่งตามการออกฤทธิ์และแบ่งตามกำกฎหมายดังนี้ก.จำแนกตามสิ่งเสพติดที่มา1. ประเภทที่ได้จากธรรมชาติ เช่น ฝิ่น มอร์ฟีน กระท่อม กัญชา2. ประเภทที่ได้จากการสังเคราะห์ เช่น เฮโรอีน ยานอนหลับ ยาม้า แอมเฟตามีน สารระเหยข.จำแนกสิ่งเสพติดตามกฎหมาย1. ประเภทถูกกฎหมาย เช่น ยาแก้ไอน้ำดำ บุหรี่ เหล้า กาแฟ ฯลฯ2. ประเภทผิดกฎหมาย เช่น มอร์ฟีน ฝิ่น เฮโรอีน กัญชา กระท่อม แอมเฟตามีน ฯลฯค.การจำแนกสิ่งเสพติดตามการออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง1.ประเภทกดประสาท เช่น ฝิ่น มอร์ฟีน เฮโรอีน ยากล่อมประสาท ยาระงับประทสาท ยานอนหลับ สารระเหย เครื่องดื่มมึนเมา เช่นเหล้า เบียร์ ฯ2. ประเภทกระตุ้นประสาท เช่น แอมเฟตามีน ยาม้า ใบกระท่อม บุหรี่ กาแฟ โคคาอีน3. ประเภทหลอนประสาท เช่น แอล เอส ดี,เอส ที พี,น้ำมันระเหย4. ประเภทออกฤทธิ์ผสมผสาน อาจกด กระตุ้น หรือหลอนประสาทผสมรวมกันได้แก่ กัญชา
สาเหตุที่ทำให้เกิดยาเสพติด 1. ติดเพราะฤทธิ์ของยา เมื่อร่างกายมนุษย์ได้รับยาเสพติดเข้าไปฤทธิ์ของยาเสพติดจะทำให้ระบบต่างๆของร่างกายเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งถ้าการใช้ยาไม่บ่อยหรือนานครั้ง ไม่ค่ยมีผลต่อร่างกาย แต่ถ้าใช้ติดต่อเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งจะทำให้มีผลต่อร่างกายและจิตใจ มีลักษณะ 4 ประการ คือ1.1 มีความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะเสพยาหรือสารนั้นอีกต่อไปเรื่อๆ1.2 มีความโน้มเอียงที่จะเพิ่มปริมาณของยาเสพติดขึ้นทุดขณะ1.3 ถ้าถึงเวลาที่เกิดความต้องการแล้วไม่ได้เสพ จะเกิดอาการอยากยา หรืออาการขาดยา เช่น หาว อาจียน น้ำตาน้ำมูกไหล ทุรนทุราย คลุ้มคลั้ง โมโห ขาสติ1.4 ยาที่เสพนั้นจะไปทำลายสุขภาพของผู้เสพทั้งร่างกาย ทำให้ซูบผอม มีโรคแทรกซ้อน และทางจิตใจ เกิดอาการทางประสาท จิตใจไม่ปกติ 2. ติดยาเสพติดเพราะสิ่งแวดล้อม2.1 สภาพแวดล้อมภายนอกของบ้านที่อยู่อาศัย เต้มไปด้วยแหล่งค้ายาเสพติด เช่น ใกล้บรเวณศูนย์การค้า หน้าโรงหนัง ซึ่งเป็นการซื้อยาเสพติดทุกรูปแบบ2.2 สิ่งแวดล้อมภายในบ้านขาดความอบอุ่น รวมไปถึงปัญหาชีวิตคนในครอบครัวและฐานะทางเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมจะทำให้เด้กหันไปพึ่งยาเสพติด การขาดความเอาใจใส่ดูแลจากพ่อแม่ และขาดการยอมรับจากครอบครัว เด็กจะหันไปคบเพื่อนร่อมกลุ่มเพื่อต้องการความอบอุ่น สภาพของกลุ่มเพื่อน สภาพของเพื่อนบ้านใกล้เคียง2.3 สิ่งแวดล้อมทางโรงเรียน เด็กมีปัญหาทางการเรียน เนื่องจากเรียนไม่ทันเพื่อน เบื่อครู เบื่อโรงเรียน ทำให้หนีโรงเรียนไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ตนพอใจ เป็นเหตุให้ตกเป็นเหยื่อของการติดยาเซบติด3. ติดเพราะความผิดปกติทางร่างกายและจิตใจในสังคมที่วุ่นวายสับสน เปลี่ยนแปลงรวดเร้วดังเช่นปัจจุบัน ทำให้จิตใจผิดปกติง่าย หากเป็นบุคคลที่มีบุคลิกภาพอ่อนแอในทุกด้าน ทั้งอารมณ์และสติปัญญา รวมทั้งร่างกายไม่สมบูรณ์แข็งแรงก็จะหาสิ่งยึดเหนี่ยว จะตกเป้นทาสยาเสพติดได้ง่าย ผู้ที่มีอารมณ์วู่วามไม่ค่อยยั้งคิดจะหันเข้าหายาเสพติดเพื่อระงับอารมณ์วู่วามของตน เนื่องจากยาเสพติดมีคุณสมบัติในการกดประสาทและกระตุ้นประสาท ผู้มีจิตใจมั่นคง ขาดความมั่นใจ มีแนวโน้มในการใช้ยาเพื่อบรรเทาความวิตกกังวลของตนให้หมดไปและมีโอกาสติดยาได้ง่ายกว่าผู้อื่น
วิธีสังเกตผู้ติดยาหรือสารเสพติด1. การเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย สุขภาพทรุดโทรม ผอมซีด ทำงานหนักไม่ไหว ริมฝีปากเขียวคล้ำและแห้ง ร่างกายสกปรกมีกลิ่นเหม็น ชอบใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว ใส่แว่นดำเพื่อปกปิด2. การเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ อารมณ์หงุดงิดง่าย พูดจาร้าวขาดความรับผิดชอบต่อหน้าที่ มั่วสุมกับคนที่มีพฤติกรรมเกี่ยวกับยาเสพติด สุบบุหรี่จัด มีอุปกรณ์เกี่ยวกับยาเสพติด หน้าตาซึมเศร้า ขาดความเชื่อมั่น จิตใจอ่อนแอ ใช้เงินเปลือง สิ่งของภายในบ้านสูญหายบ่อย3. แสดงอาการอยากยาเสพติด ตัวสั่น กระตุก ชัก จาม น้ำหมูกไหล ท้องเดิน ถ่ายอุจจาระเป็นเลือดที่เรียกว่า "ลงแดง" มีไข้ปวดเมื่อยตามร่างกายอย่างรนแรงนอนไม่หลับ ทุรนทุราย4. อาสัยเทคนิคทางการแพทย์ โดยการเก็บปัสสาวะบุคคลที่สงสัยว่าจะติดยาเสพติดส่งตรวจ ใช้ยาบางชนิดที่สามารถล้างฤทธิ์ของยาเสพติด

ช็อคโกเเล็ตม้วน




Chocolate Roulade (ช็อคโกแล็ตม้วน)

ขนม อร่อย อร๊อย อร่อย มาให้ลองทำทานกันค่ะ วิธีทำอาจจะยากกไปนิดสำหรับมือใหม่ แต่ถ้าพยายามคิดว่าน่าจะทำกันได้ค่ะ สูตรนี้ส้มได้มาจากคุณลูกสน(แห่งห้องก้นครัว) ขอบคุณมาก ๆ สำหรับ สูตรขนม อร่อย(จริง ๆ ) สูตรนี้ค่ะ พร้อมแล้วลุยกันเลยจ้า..


-->
ส่วนผสม(สำหรับถาดสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาด 8-9 นิ้ว) (ส้มใช้ 8 นิ้วนะจ๊ะ^^)

1. ช็อคโกแลต 90 กรัม2. น้ำตาลทราย (1) 50 กรัม3. ไข่ไก่เบอร์ศูนย์ 3 ฟอง แยกขาวแดง4. ผงโกโก้ 1 ช้อนโต๊ะ ร่อนเตรียมไว้5. กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา6. วิปปิ้งครีม 140 มิลลิลิตร7. น้ำตาลไอซิ่งสำหรับตกแต่ง8. น้ำตาลทราย(2) 20 กรัมลุยกันเลยจ้า...
1. เตรียมพิมพ์โดยทาเนยให้ทั่ว ปูกระดาษไขทับ ให้เหลือชายกระดาษออกมาซัก 1 นิ้วค่ะ และทาเนยทับกระดาษไขอีกครั้งนึง เตรียมวอล์มเตาไฟบน – ล่าง 180 องศานะจ๊ะ
2. ละลายช็อคโกแลตค่ะ หากบ้านใครมีไมโครเวฟจะใช้เวฟก็ได้นะจ๊ะ แต่หากไม่มีก็นำช็อคไปตุ๋นให้ละลายค่ะ
3. แต่วันนี้ส้มใช้ไมโครเวฟค่ะ เลียนแบบคุณลูกสน ^^ เวฟสูงสุด 1 นาที

4. จากนั้นนำออกมาคนนะจ๊ะว่าช็อคละลายหมดรึยัง หากยังก็เวฟต่ออีก 30 วิค่ะ ได้แบบนี้แล้วพักไว้ก่อน 5. นำไข่แดงกับน้ำตาลทรายส่วนที่ 1 ใส่ลงในชามผสม
6. ตีด้วยความเร็วสูง
7. ให้ตีจนไข่แดงมีลักษณะเป็นครีม ฟูขึ้นเล็กน้อยและสีจางลงค่ะ
8. ไข่แดงที่ได้จะข้นๆนะคะ สีอ่อนลง ใช้เวลาในการตีประมาณ 10 นาทีค่ะ อาจจะมี 3 /3/3 ก็ได้นะจ๊ะ
9. เทช็อคโกแลตละลายที่เย็นแล้วใส่ลงไปในส่วนไข่แดง
10. ตามด้วยกลิ่นวานิลลา
11. จากนั้นร่อนผงโกโก้ ตามลงไปเลยจ้า..
12. จากนั้นตีส่วนผสมให้เข้ากันอีกครั้งด้วยความเร็วปานกลาง ระหว่างตีให้ใช้พายยางปาดส่วนผสม ไปด้วยนะคะ ส่วนผสมที่ตีเสร็จแล้วจะค่อนข้างเหนียวค่ะ
13.พักส่วนผสมนี้ไว้ก่อนนะคะ

14. ตีไข่ขาวให้ขึ้นฟองหยาบ
15. จากนั้นเทน้ำตาลที่แบ่งไว้ลงไปค่ะ 16. ตีต่อจนได้ไข่ขาวที่ตั้งยอดแข็ง 17. ตะล่อมไข่ขาวเข้ากับส่วนผสมช็อคโกแลตค่ะ ให้แบ่งไข่ขาวทีละ 1/3 มาใส่ในชามช็อคโกแลต
18. ใช้พายยางตัดลงไปกลางส่วนผสมแล้วตักเอาช็อคโกแลตขึ้นมาบนไข่ขาว จากนั้นใช้พายยางคนส่วนผสมเบาๆให้ไข่ขาวกระจายตัว แล้วหมุนชามไปเรื่อยๆ ทำซ้ำขั้นตอนเดิมจนกว่าไข่ขาวจะหมด และกระจายตัวเข้ากับช็อคโกแลตดีค่ะ การทำค่อนข้างยากนิดนึงสำหรับมือใหม่ และต้องพยายามคนให้ส่วนผสมเข้ากันนะจ๊ะ ^^”
19. ช็อคจะค่อนข้างเหนียวค่ะ ต้องใจเย็น ๆ ค่อย ๆตะล่อม ๆ เค้านะจ๊ะ (สำหรับส้มขั้นตอนนี้ยากเอาการเลยละ ^^’)

20. เทส่วนผสมที่ได้ใส่พิมพ์ที่เตรียมไว้ค่ะ จะเห็นว่ามีฟองอากาศค่อนข้างเยอะ มะเป็นไรไม่ต้องกังวลนะจ๊ะ^^
21. ให้ใช้ไม้จิ้มฟันจิ้ม ๆ เพื่อไล่ฟองอากาศออกค่ะ
22. จากนั้นเอาขนมเข้าอบเป็นเวลา 20 นาทีค่ะ ไฟบน- ล่างค่ะ
23. พออบเสร็จแล้วหน้าเค้กจะออกมากรอบนะคะ ถ้าแตะหน้าเค้กเบาๆเค้กจะนิ่ม ๆ ค่ะ ส่วยน่ากินป่าว ^^
24. ให้พักเค้ก โดยเอากระดาษไขวางบนหน้าพิมพ์
25. แล้วหาผ้าชุบน้ำหมาดๆวางทับไปบนกระดาษไขอีกทีค่ะ ทำแบบนี้หน้าเค้กจะได้ไม่แห้ง รอไปจนกว่าเค้กจะเย็น ประมาณ 30 นาทีค่ะ ต้องให้มั่นใจว่าเค้กเย็นจริงๆนะคะ เพราะไม่งั้นเอามาใส่ไส้ครีมแล้วครีมจะละลายเอา
26. พอเค้กเย็นแล้วให้หากระดาษไขแผ่นใหญ่ๆมาปูบนโต๊ะค่ะ
27. แล้วโรยด้วยน้ำตาลไอซิ่งให้ทั่ว
28. จากนั้นคว่ำพิมพ์เค้กลงบนกระดาษไข แล้วค่อยๆลอกกระดาษที่ติดอยู่กับตัวเค้กออก ทำเบา ๆ นะจ๊ะ เพราะเค้กนิ่มมาก 29. จะสังเกตได้ว่าเค้กของมีช็อคโกแลตกระจายอยู่ค่อนข้างเยอะเลย ^^” เพราะตอนตะล่อม ส้มตะล่อมไม่ดีเท่าที่ควรค่ะ แต่ไม่เป็นไรเพราะมันอยู่ข้างใน กิกิ..
30. ตีครีมให้ขึ้นฟูค่ะ โดยหัวตีกับโถตีเราอาจจะนำแช่เย็นไว้ก่อนเพื่อจะได้ตีง่ายขึ้นก้ได้นะจ๊ะ หากใครชอบหวานนิด ๆ ให้เติมไอซิ่งเพิ่ม 2 ชต. นะจ๊ะ 31. เอายอดเกือบแข็งนะคะ 32. เตรียมประกอบร่างเค้กค่ะ เพื่อความหอม มันส์อร่อย เพิ่มเหล้ารัมไว้สำหรับทาเค้กด้วยนะจ๊ะ
33. นำเหล้ารัมทาให้ทั่วเค้กเลยค่ะ รับรองหอม อร่อย^^ 34. จากนั้นเริ่มปาดวิปครีมลงไปที่เนื้อเค้กค่ะ หนา บาง ตามชอบนะจ๊ะ
35. จากนั้นก็ม้วนเค้กได้เลย 36. กรีดร่องนำทางให้เค้านิดนึง เวลาม้วนจะได้ม้วนง่าย^^

37.เริ่มม้วนเค้กโดยใช้กระดาษไขเป็นตัวช่วยยกเค้กแล้วผลักไปด้านหน้าค่ะ เค้กม้วนไม่ยากนะคะ (ตามแบบอาจารย์ลูกสนสอน^^)

38. ม้วนเสร็จให้บิดปลายกระดาษไขให้เหมือนกระดาษห่อทอฟฟี่ แล้วก็เอาเค้กไปแช่ตู้เย็นซัก2 ชั่วโมง
39.ผ่านไป 2 ชั่วโมงค่ะ ได้เวลาผ่าพิสูจน์ซาก ^^”
40. หามุมชันสูตร กิกิ
41. ชะแว๊บบบบ.. น่ากินอะป่าววว เนื้อเนียน นิ่ม หอมช็อคสุด ๆ ค่ะ

42. กลัวน้ำหนักโหลดค่ะ ^^ ชิมแค่นี้ก็พอ แต่ปาเข้าไป 4 หน กิกิ.. อร่อยจิง ๆ ค่ะ นิ่ม หอม แช่ช่องธรรมดาไม่ต้องฟรีซนะจ๊ะ เก็บได้นาน 1 อาทิตย์ (ถ้ายังเหลือนะ) ขอบคุณคุณลูกสนอีกครั้งค่ะสำหรับสูตรอร่อย : ทำด้วยใจให้ด้วยรักจ้า..

ความหมายของมารยาท



ความหมายของมารยาท
มารยาท เป็นพฤติกรรมที่แสดงออกทางกาย วาจา ที่สะท้อนออกมาจากจิตใจ เป็นข้อปฏิบัติของบุคคลที่แสดงต่อผู้อื่นเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข จึงมีผู้ให้ความหมายของมารยาทไว้ดังนี้
ท่านผู้หญิงดุษฎีมาลา มาลากุล ( 2514 : 1 ) ได้ให้ความหมายมารยาทไว้ว่า “มารยาท คือ กิริยา วาจา ที่ถือว่าสุภาพเรียบร้อย อันประกอบด้วยการเสียสละ ความพอใจส่วนตัว เพื่อทำความพอใจให้ ผู้อื่น” ชาติไทยได้ชื่อว่าเป็นชาติที่มีมารยาทงดงามที่สุดในโลก ( ฟื้น ดอกบัว 2542 : 83 ) ทั้งนี้เพราะบรรพบุรุษของไทยได้วางแบบอย่างมารยาทไว้เหมาะสม แบบอย่างมรรยาทของชาติไทยเป็นหลักการที่ไม่ล้าสมัย จึงปฏิบัติได้ทุกโอกาส ทุกสมัย และทุกสถานที่ นำไปปฏิบัติในสังคมของชาติอื่นได้อย่างถูกต้อง และเหมาะสม
แคล้ว เจริญวงศ์ ( 2524 : 1 ) กล่าวถึงคำว่า “มารยาท” หมายถึง กิริยาอาการที่แสดงออกอันเป็นการเสียสละเพื่อทำความพอใจให้แก่คนอื่น เช่น เสียสละที่นั่งในรถหรือในเรือให้แก่เด็กหรือคนชรา เมื่อผู้ใหญ่เดินมาก็หลีกให้ทางเดินแก่ผู้ใหญ่ ช่วยเหลือเด็ก คนชรา คนพิการ หรือคนทุพพลภาพที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เป็นต้น
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช 2525 ( 2531 : 215 ) ให้ความหมายของ คำว่า “มารยาท” ไว้ เช่น ในความหมายของคำว่า “จรรยา” คือ ความประพฤติ กิริยาที่ควรประพฤติในหมู่คณะ เช่น จรรยาแพทย์ จรรยาครู นิยมใช้ในทางดีเช่น ถ้าไม่มีจรรยา หมายความว่า ไม่มีความประพฤติที่ดี ส่วนคำว่า “กริยา” (กริ-ยา) คือ คำที่แสดงอาการของนามหรือสรรพนาม
สมชัย ใจดีและยรรยง ศรีวิริยาภรณ์ ( 2531 : 7 ) กล่าวถึงมารยาทว่า มารยาทเป็นส่วนหนึ่งของสหธรรมซึ่งเป็นวัฒนธรรมทางสังคมที่ใช้ในการติดต่อสัมพันธ์กับคนอื่น เป็นคุณธรรมที่ควรปฏิบัติ
สุทธิ ภิบาลแทน ( 2539 : คำนิยม ) กล่าวว่า มารยาทเป็นองค์ประกอบย่อยของวัฒนธรรมชาติไทยมีเอกลักษณ์ประจำชาติและมีองค์ประกอบหลายอย่างที่สามารถจำแนกได้ว่าเป็นคนไทย เป็นชาติไทย เช่น ภาษา พิธีกรรมบางอย่างและการแต่งกาย เป็นต้น คนไทยมีมารยาทซึ่งสั่งสมมาหลายสมัย สมควรถ่ายทอดเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของสังคมต่อไป
พัว อนุรักษ์ราชมณเฑียร ( 2530 : 1 ) ได้กล่าวถึง มารยาทไทยว่า ความมีมารยาทหมายถึง การมีกิริยา วาจา ใจ สุภาพเรียบร้อย สังคมไทยได้กำหนดแบบอย่างของมารยาทไว้หลายชนิดทั้งมารยาทในอิริยาบถต่างๆ การยืน เดิน นั่ง การแสดงความเคารพฯลฯ ล้วนแต่เหมาะสมและอาจดัดแปลงแก้ไขให้สอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมและกาลสมัย กิริยามารยาทของไทยในแต่ละท่า แต่ละแบบล้วนไม่ขัดกับการใช้อวัยวะประกอบท่าทาง จึงเป็น ท่าทางที่งดงามและถูกต้องตามลักษณะของกายวิภาคทั้งสิ้น กุลบุตรกุลธิดาไม่ว่าชาติใด ถ้า ได้รับการศึกษาและอบรมมาดีแล้วทั้งกาย วาจา ใจย่อมได้ชื่อว่าเป็นสุภาพชน สุภาพชนจะ รู้จักเหนี่ยวรั้งใจตนเอง มีความละอายใจตนเอง ไม่ยอมประพฤติการที่ไม่เหมาะสมและสำนึกในเรื่องกิริยามารยาทของตนเองอยู่เสมอ
ผะอบ โปษะกฤษณะ ( 2530 : 2 ) ได้กล่าวถึงมารยาทไว้ว่า มารยาท หมายถึง ความประพฤติเรียบร้อย ซึ่งมุ่งไปถึงกิริยาท่าทาง แต่ความจริงมีความหมายกว้างออกไปถึงการแสดงออกทุกอย่างของมนุษย์เรา เช่น กิริยาท่าทาง สีหน้า คำพูด การแต่งกาย
สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ( 2539 : 1 ) กล่าวว่า มารยาทหรือมรรยาทมีที่ใช้ในภาษาไทยได้ทั้ง 2 คำ หมายถึงกิริยาอาการที่ควรประพฤติปฏิบัติอย่างมีขอบเขตหรือมีระเบียบแบบแผนอันเหมาะสมแก่กาลเทศะและสังคม ได้แก่ การยืน เดิน นั่ง นอน การแสดงความเคารพ การรับของและการส่งของส่วนมารยาทไทยเป็นการเจาะจงชี้แจงให้ทราบถึงขอบเขตหรือระเบียบแบบแผนแห่งการประพฤติปฏิบัติแบบไทยที่บรรพบุรุษได้พิจารณากำหนดขึ้นและดัดเปลงแก้ไขให้ สืบทอดกันมา
ทิพวรรณ หอมพลู ( 2538 : 4 ) กล่าวถึงมารยาท หมายถึง กิริยาและวาจาสุภาพ เรียบร้อย เพราะกิริยาและวาจานอกจากจะเป็นการแสดงออกของนิสัยใจคอแล้ว ยังแสดงถึงการมีวัฒนธรรมนั้นด้วย เช่น - ความสุภาพในกิริยา คือ การวางตัวดี หมายถึง การทำงานให้เหมาะสมกับเวลา สถานที่ และบุคคลที่เราสมาคมด้วย พร้อมทั้งกิริยา ท่าทางที่ละมุมละม่อมอ่อนโยนให้เหมาะสมกับบุคคล เช่น เมื่อพบผู้ใหญ่ ก็ทำความเคารพ - ความสุภาพในวาจา คือ พูดด้วยวาจาอ่อนหวาน สุภาพเรียบร้อย และพูดแต่สิ่งที่น่าฟังเท่านั้น และรู้จักใช้คำพูดให้เหมาะสมแก่กาลเทศะ
ทิพวรรณ หอมพูล ( 2538 : 15 ) ยังได้กล่าวถึงมารยาทไทย คือ การแสดงอิริยาบถต่างๆที่มีความสุภาพ อ่อนน้อม ละเมียดละไม ทั้งกิริยา วาจาที่สุภาพเรียบร้อย รวมทั้งการแต่งกายที่มีระเบียบเหมาะสมกับกาลเทศะ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่แสดงออกถึงความเป็น เอกลักษณ์ไทย
สมจินตนา ภักดิ์ศรีวงศ์ ( 2538 : 27 ) กล่าวว่า มารยาทไทย หมายถึง กิริยาวาจาที่คนไทยเห็นว่าเรียบร้อย ถูกลักษณะนิสัยของคนไทยที่เป็นคนอ่อนโยน มีความสงบเสงี่ยมทั้งกายวาจา เป็นการควบคุมกายวาจา ให้อยู่ในกรอบที่สังคมยอมรับและต้องการ ดังคำกล่าวของชาวไทยแต่โบราณที่ว่า “สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล” ซึ่งเป็นสิ่งที่บอกความหมายของมารยาทได้เป็นอย่างดี
สมทรง ปุญญฤทธิ์ ( 2539 : 10 – 11 ) คำว่า มารยาท มาจากภาษาสันสกฤตว่า “มารยาท” ภาษาบาลีว่า “มริยาท” ซึ่งหมายถึง คันนา โดยมีความหมายตามรากศัพท์เดิมว่า… นาดีต้องมีคัน ถือแนวดินที่ยกสูงขึ้นสามารถกักเก็บน้ำไว้ได้ หรือระบายน้ำออกไปได้ตามความต้องการฉันใด กิริยาอาการของคนเราก็ฉันนั้น ถ้ามีขอบเขตหรือระเบียบแบบแผนที่เหมาะสมแก่กาลเทศะและสังคมแล้ว ย่อมแสดงว่าผู้นั้นเป็นผู้มีมารยาทหรือวัฒนธรรมอันดีงาม ส่วนมารยาทไทยเป็นการเจาะจงชี้แจงให้ทราบถึงขอบเขตหรือระเบียบแบบแผนแห่งการประพฤติปฏิบัติแบบไทยที่บรรพบุรุษของเราได้พิจารณากำหนดขึ้นให้เหมาะสมแก่กาลเทศะและสังคม เป็นความงดงาม ความอ่อนโยนละมุนละไม เป็นเอกลักษณ์ของคนไทยที่ควรรักษาไว้ตลอดไป
จากความหมายดังกล่าวสรุปได้ว่า มารยาท เป็นระเบียบแบบแผนการประพฤติที่ดีงามอันแสดงถึงพฤติกรรมที่สุภาพเรียบร้อย ละมุนละไมทั้งทางกาย วาจาโดยมีใจเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมให้แสดงออกได้อย่างเหมาะสม เป็นองค์ประกอบย่อยของวัฒนธรรมซึ่งเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติที่สมควรจะถ่ายทอดสืบต่อไป มารยาทไทยเป็นกิริยามารยาทที่ คนไทยได้สร้างสรรค์ให้เหมาะกับลักษณะนิสัยของคนไทยและสภาพแวดล้อมของประเทศไทย ดังนั้น กิริยามารยาทในแต่ละท่าแต่ละแบบต่างๆงดงามและถูกต้องตามหลักของกายวิภาคและมีความทันสมัยอยู่ตลอดกาล